โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเกิดจากแรงดันเลือดในหลอดเลือดแดงที่สูงเกินมาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในหลายด้าน เช่น การทำงานของหัวใจ ไต และหลอดเลือด หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตเรื้อรัง การดูแลรักษาและป้องกันความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยสูงอายุ ในบทความนี้จะครอบคลุมถึงอาการของความดันโลหิตสูง ผลกระทบต่อสุขภาพ การป้องกัน วิธีลดความดันโลหิตสูง และคำแนะนำในการเลือกอุปกรณ์วัดความดันโลหิตที่เหมาะสม รวมถึงอาหารที่ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติสำหรับผู้สูงอายุ


ความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุ

ความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุ

ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นภาวะที่ความดันโลหิตในหลอดเลือดแดงสูงเกินค่าปกติ ซึ่งเกิดจากแรงดันของเลือดที่ไหลผ่านหลอดเลือดแดงมีค่าสูงกว่าระดับที่เหมาะสม โดยค่าความดันโลหิตปกติสำหรับผู้ใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท (มม.ปรอท) ซึ่งตัวเลขแรกคือค่าความดันขณะหัวใจบีบตัว และตัวเลขที่สองคือค่าความดันขณะหัวใจคลายตัว หากค่าความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มม.ปรอท ถือว่าอยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวังหรือรักษา เนื่องจากอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย ความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระบบหลอดเลือดและหัวใจเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะการสูญเสียความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือด และการเสื่อมของระบบการทำงานของหัวใจตามวัย

สาเหตุของความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุ

ความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุเกิดจากหลายปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กัน ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาตามวัย ปัจจัยทางพันธุกรรม และพฤติกรรมการดำเนินชีวิต นอกจากนี้ การที่ผู้สูงอายุนอนทั้งวัน อาจเป็นสัญญาณของสุขภาพที่ควรใส่ใจ เนื่องจากการนอนมากเกินไปอาจเกี่ยวข้องกับโรคต่าง ๆ เช่น ภาวะซึมเศร้า เบาหวาน หรือโรคหัวใจ รวมถึงส่งผลต่อการไหลเวียนของโลหิตและระดับความดันโลหิต ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มักส่งผลร่วมกันและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง เช่น

  1. อายุที่เพิ่มขึ้น: เมื่ออายุมากขึ้น ผนังหลอดเลือดจะค่อย ๆ สูญเสียความยืดหยุ่นและแข็งตัวมากขึ้น ส่งผลให้แรงดันเลือดในหลอดเลือดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหัวใจต้องทำงานหนักขึ้นในการสูบฉีดเลือด
  2. พันธุกรรม: ผู้สูงอายุที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะพ่อแม่หรือพี่น้อง มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้ เนื่องจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด
  3. การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม: การบริโภคอาหารที่มีเกลือ โซเดียม และไขมันสูงเป็นประจำและต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้มีการสะสมของสารพิษในร่างกาย ส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นและเพิ่มภาระการทำงานของหัวใจ
  4. ความเครียดและการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ: ภาวะความเครียดเรื้อรังและการนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพ ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัวและความดันโลหิตสูงขึ้น
  5. การขาดการออกกำลังกาย: การมีวิถีชีวิตที่ไม่กระฉับกระเฉงและขาดการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง

อาการที่ควรระวัง

อาการที่ควรระวัง

โรคความดันโลหิตสูงมักไม่แสดงอาการที่ชัดเจนในระยะแรก ทำให้หลายคนละเลยการตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม เมื่อความดันโลหิตสูงขึ้นมากหรือมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น ผู้ป่วยอาจสังเกตพบอาการต่าง ๆ ที่ควรให้ความสนใจ ดังต่อไปนี้

  • ปวดศีรษะ โดยเฉพาะบริเวณท้ายทอย ซึ่งมักเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง อาการปวดอาจรุนแรงขึ้นเมื่อตื่นนอนตอนเช้าหรือเมื่อมีความเครียด
  • เวียนศีรษะหรือมึนงง ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อเปลี่ยนท่าทางกะทันหัน หรือลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
  • มีปัญหาในการมองเห็น เช่น เห็นภาพเบลอ มีจุดดำลอยไปมาในสายตา หรือการมองเห็นที่เปลี่ยนแปลงไปจากปกติ
  • หายใจลำบาก หรือเจ็บหน้าอก โดยเฉพาะเมื่อออกแรงหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงาน
  • มีเลือดกำเดาไหล (ในบางกรณี) ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชัดเจนหรือเกิดขึ้นบ่อยกว่าปกติ

หากสังเกตพบอาการเหล่านี้ ไม่ควรรอช้าหรือละเลย ควรรีบตรวจวัดความดันโลหิตทันที และปรึกษาแพทย์เพื่อรับการประเมินอาการและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายได้

ผลกระทบต่อสุขภาพ

ความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม สามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพในหลายด้าน การเฝ้าระวังและป้องกันจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่ร้ายแรงเหล่านี้ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ดังนี้

  • โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูงทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวและอ่อนแอลง เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจตาย และโรคหลอดเลือดหัวใจ
  • โรคหลอดเลือดสมอง การไหลเวียนเลือดที่ผิดปกติและแรงดันเลือดที่สูงเกินไปสามารถทำให้หลอดเลือดในสมองเสื่อมสภาพ เกิดการตีบตัน แตก หรือปริแตก ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้
  • โรคไตเรื้อรัง ความดันโลหิตสูงสามารถทำลายหลอดเลือดฝอยและหน่วยไตอย่างช้า ๆ ทำให้ไตสูญเสียความสามารถในการกรองของเสีย ส่งผลให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังและอาจต้องล้างไตในที่สุด
  • ปัญหาด้านการมองเห็น หลอดเลือดในจอประสาทตาที่ได้รับความเสียหายจากความดันโลหิตสูง อาจทำให้เกิดภาวะเรตินาเสื่อม จอประสาทตาผิดปกติ และนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
  • คุณภาพชีวิตลดลง ความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้าเรื้อรัง ข้อจำกัดในการทำกิจวัตรประจำวัน ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางสังคมและครอบครัว

วิธีลดความดันโลหิตสูง ในผู้สูงอายุ

วิธีลดความดันโลหิตสูง ในผู้สูงอายุ

การดูแลความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตเรื้อรัง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงการเลือกวิธีที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ จะช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืน

1. การรับประทานอาหาร

  • ลดการบริโภคเกลือ จำกัดการบริโภคเกลือไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 1 ช้อนชา เลือกใช้เกลือโซเดียมต่ำหรือปรุงอาหารเองเพื่อลดการใช้เครื่องปรุงรสจัด
  • เพิ่มผักและผลไม้ในอาหาร รับประทานผักใบเขียว เช่น ผักโขม บร็อคโคลี และผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย ส้ม เพื่อช่วยปรับสมดุลของโซเดียมในร่างกาย
  • หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและไขมันทรานส์ เช่น ไส้กรอก เบคอน และขนมอบสำเร็จรูปที่มีไขมันไม่ดี ซึ่งส่งผลต่อการไหลเวียนเลือด
  • เพิ่มโปรตีนไขมันต่ำ เช่น ปลาแซลมอน อกไก่ และถั่ว เพื่อเสริมสร้างสุขภาพหลอดเลือด

2. การออกกำลังกาย

  • เดินหรือวิ่งเบา ๆ การออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินเร็ว 30 นาทีต่อวัน ช่วยปรับสมดุลของระบบไหลเวียนเลือด
  • โยคะหรือการออกกำลังกายเพื่อการผ่อนคลาย ช่วยลดความเครียดและปรับปรุงระบบหลอดเลือด

3. การจัดการความเครียด

  • ฝึกสมาธิหรือโยคะ ช่วยลดความเครียดที่เป็นปัจจัยกระตุ้นความดันโลหิตสูง
  • นอนหลับให้เพียงพอ ควรนอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมงในบรรยากาศที่สงบ การพักผ่อนที่ดีช่วยลดความเสี่ยงจากความดันโลหิตสูง
  • การทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย การอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือทำงานอดิเรกที่ชอบ ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายและลดระดับความเครียด

4. การเฝ้าระวังและตรวจสุขภาพ

  • การวัดความดันโลหิตเป็นประจำ ควรวัดความดันโลหิตด้วยเครื่องวัดที่บ้าน เพื่อเฝ้าติดตามระดับความดันโลหิตและปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม
  • การตรวจสุขภาพประจำปี การตรวจสุขภาพช่วยประเมินความเสี่ยงและตรวจพบภาวะที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิตได้เร็วขึ้น

การใช้อุปกรณ์วัดความดันโลหิต

การใช้อุปกรณ์วัดความดันโลหิต

วิธีเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสม

  • เครื่องวัดความดันโลหิตแบบดิจิทัล เหมาะสำหรับการใช้งานในบ้าน ใช้งานสะดวก แสดงผลแม่นยำ และมีระบบบันทึกข้อมูลที่ช่วยให้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิตได้อย่างต่อเนื่อง เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการดูแลสุขภาพด้วยตนเองที่บ้าน
  • เครื่องวัดความดันโลหิตแบบพกพา เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่เดินทางบ่อย มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา พกพาสะดวก สามารถตรวจวัดได้ทุกที่ทุกเวลา และมีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนาน ทำให้ไม่พลาดการติดตามค่าความดันแม้อยู่นอกบ้าน

เทคนิคการวัดความดันโลหิตอย่างถูกต้อง

  • ก่อนการวัดความดันโลหิต ควรนั่งพักในที่เงียบสงบ ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจอย่างน้อย 5 นาที เพื่อให้ร่างกายปรับสภาวะให้เป็นปกติ และหลีกเลี่ยงการวัดหลังจากออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วทันที
  • จัดท่าทางให้ถูกต้องโดยวางแขนบนโต๊ะหรือที่วางแขนในระดับเดียวกับหัวใจ และควรใช้แขนข้างเดิมในการวัดทุกครั้ง เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบค่าความดันโลหิตได้อย่างแม่นยำและเชื่อถือได้ ไม่ควรไขว้ขาหรือพูดคุยระหว่างการวัด

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

  • เลิกบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่และแอลกอฮอล์เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และส่งผลเสียต่อหลอดเลือดในระยะยาว การลดหรือเลิกสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ระบบหลอดเลือดฟื้นตัวและทำงานได้ดีขึ้น
  • ลดน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน น้ำหนักตัวที่เหมาะสมตามดัชนีมวลกาย (BMI) จะช่วยลดภาระการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ การรักษาความชุ่มชื้นในร่างกายด้วยการดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว โดยควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งวัน และเพิ่มปริมาณในวันที่อากาศร้อนหรือออกกำลังกาย
  • บริโภคอาหารเสริมที่ช่วยลดความดันเช่น น้ำมันปลา (Fish Oil) ที่มีโอเมก้า-3 ซึ่งช่วยลดการอักเสบและบำรุงหลอดเลือด หรืออาหารที่มีแมกนีเซียมสูง เช่น ถั่วชนิดต่างๆ ธัญพืชไม่ขัดสี และเมล็ดพืช ที่ช่วยควบคุมความดันโลหิตได้อย่างเป็นธรรมชาติ

การลดความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุควรเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน เช่น การเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การออกกำลังกายที่เหมาะสม การลดความเครียด รวมถึงการเฝ้าระวังด้วยการวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ การทำสิ่งเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถควบคุมความดันโลหิตได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว


อาหารที่ช่วยลดความดันโลหิตสำหรับผู้สูงอายุ

อาหารที่ช่วยลดความดันโลหิตสำหรับผู้สูงอายุ

การรับประทานอาหารที่เหมาะสม สามารถช่วยลดและควบคุมความดันโลหิตในผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการเลือกอาหารที่มีคุณสมบัติเสริมสุขภาพหลอดเลือดและลดความดันโลหิต จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองได้

1. ผักและผลไม้

  • ผักใบเขียว เช่น ผักโขม คะน้า และบล็อคโคลี ที่มีโพแทสเซียมสูง ช่วยปรับสมดุลโซเดียมในร่างกายและลดความดันโลหิต
  • ผลไม้ที่มีโพแทสเซียม เช่น กล้วย ส้ม และอะโวคาโด มีคุณสมบัติช่วยขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย
  • ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบอร์รี่ชนิดต่าง ๆ ช่วยปกป้องหลอดเลือดจากการอักเสบและลดแรงดันโลหิต

2. ธัญพืชและเมล็ดพืช

  • ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต และควินัว ที่มีใยอาหารสูง ช่วยลดคอเลสเตอรอลและควบคุมความดันโลหิต
  • เมล็ดแฟลกซ์และเมล็ดเจีย มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยส่งเสริมสุขภาพหลอดเลือดและลดความดันโลหิต

3. โปรตีนไขมันต่ำ

  • ปลาไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน และปลาทูน่า ที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือด
  • ถั่วและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ และนมถั่วเหลือง มีสารอาหารที่ช่วยลดความดันโลหิตได้อย่างปลอดภัย

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความดันโลหิต

1. อาหารเค็มจัด

  • อาหารสำเร็จรูปและอาหารแปรรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไส้กรอก และอาหารกระป๋อง ซึ่งมีโซเดียมสูง ควรจำกัดการบริโภค
  • ขนมขบเคี้ยวรสเค็ม เช่น มันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบ และถั่วอบเกลือ

2. ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์

  • อาหารทอดและขนมอบสำเร็จรูป เช่น เค้ก คุกกี้ และโดนัท ที่มีไขมันทรานส์ซึ่งทำให้หลอดเลือดแข็งตัว

3. เครื่องดื่มและขนมที่น้ำตาลสูง

  • เครื่องดื่มหวานและขนมหวาน การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปสามารถเพิ่มระดับความดันโลหิตและน้ำหนักตัว

 

โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญสำหรับผู้สูงอายุ การดูแลและ วิธีลดความดันโลหิตสูง อย่างเหมาะสม สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง และส่งเสริมสุขภาพที่ดีในระยะยาว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต การเลือกใช้อุปกรณ์วัดความดันที่เหมาะสม และการรับประทานอาหารที่ช่วยลดความดันโลหิต เป็นแนวทางสำคัญในการดูแลตนเอง นอกจากนี้ ฟันผุในผู้สูงอายุ ยังเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสุขภาพช่องปากที่ไม่ดีอาจส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม เช่น การเกิดโรคหัวใจหรือการอักเสบในร่างกาย การวัดความดันอย่างสม่ำเสมอ และการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดีและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิต


คำถามที่พบบ่อย

1. โรคความดันโลหิตสูงคืออะไร?

โรคความดันโลหิตสูงคือภาวะที่แรงดันเลือดในหลอดเลือดแดงสูงเกินกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนด (140/90 mmHg) อย่างต่อเนื่อง ภาวะนี้อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญ โดยเฉพาะหัวใจที่ต้องทำงานหนักขึ้น ไตที่อาจเสื่อมสมรรถภาพ และหลอดเลือดที่อาจแข็งตัวในระยะยาว

2. การวัดความดันโลหิตบ่อยแค่ไหนจึงเหมาะสม?

สำหรับผู้สูงอายุที่มีความดันโลหิตสูง ควรวัดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ในช่วงเวลาเดียวกันของแต่ละวัน และควรวัดหลังจากพักผ่อนอย่างน้อย 5-10 นาที หากแพทย์แนะนำให้ติดตามอย่างใกล้ชิด อาจต้องวัดทุกวันหรือวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น)

3. อาหารชนิดใดที่ช่วยลดความดันโลหิต?

อาหารที่ช่วยควบคุมความดันโลหิตได้ดี ได้แก่ ผักใบเขียวที่อุดมด้วยใยอาหารและแร่ธาตุ ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูงอย่างกล้วย ส้ม และอะโวคาโด ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวโอ๊ต และปลาที่มีไขมันดีอย่าง แซลมอน ปลาทูน่า ซึ่งมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่เป็นประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือด

4. การออกกำลังกายประเภทใดเหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีความดันโลหิตสูง?

การออกกำลังกายแบบแอโรบิกเบา ๆ ที่เหมาะสม ได้แก่ การเดินในที่โล่งหรือในสวนประมาณ 30 นาทีต่อวัน การว่ายน้ำที่ช่วยลดแรงกระแทกต่อข้อต่อ หรือการฝึกโยคะที่เน้นการหายใจและความยืดหยุ่น ทั้งหมดนี้เป็นการออกกำลังกายที่ปลอดภัยและมีประโยชน์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกายใด ๆ


อ้างอิง