Tag

ดูแลผู้สูงอายุ

Browsing

เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อาจทำให้ผู้สูงอายุบางคนมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการการเสื่อมถอยของสภาพร่างกาย ดังนั้น หากคุณกำลังเข้าสู่ช่วงวัยผู้สูงอายุ หรือเป็นคนในครอบครัวที่ต้องดูแลผู้สูงอายุ การดูแลสุขภาพจิตต่างก็ต้องการความเอาใจใส่มากพอ ๆ กับการดูแลสุขภาพกาย บทความนี้จะมาแนะนำ วิธีดูแลส่งเสริมสุขภาพจิต โดยมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับอารมณ์ กลยุทธ์การรับมือ และบทบาทของผู้ดูแลในการให้การสนับสนุนทางอารมณ์ เจาะลึกเรื่องการออกกำลังกาย โภชนาการ และความสำคัญของการมีส่วนร่วมในชุมชน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสนับสนุนสุขภาพจิตใจในผู้สูงอายุ


ปัญหาสุขภาพจิตที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ

ปัญหาสุขภาพจิตที่พบบ่อยในผู้สูงอายุประกอบด้วยสภาวะต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่ออารมณ์ ความสามารถในการรับรู้ และความเป็นอยู่โดยรวม ปัญหาเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากสามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต สุขภาพกาย และความสามารถในการใช้ชีวิตอย่างอิสระ ปัญหาสุขภาพจิตที่พบบ่อยที่สุดในผู้สูงอายุ ได้แก่

1. อาการซึมเศร้า

อาการซึมเศร้า

นี่ไม่ใช่เรื่องปกติของการสูงวัย แต่เป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ร้ายแรงในผู้สูงอายุ อาการนี้มักไม่ได้รับการวินิจฉัยและอาจแสดงออกถึงความโศกเศร้า ความเหนื่อยล้า ไม่สนใจกิจกรรมต่าง ๆ ความอยากอาหารหรือรูปแบบการนอนที่เปลี่ยนไป และความรู้สึกสิ้นหวัง ซึ่งในกลุ่มที่มีภาวะซึมเศร้าแต่ไม่แสดงอาการ เก็บงำความรู้สึกไม่อยากดำเนินชีวิตต่อไป จำเป็นต้องพบแพทย์และการดูแลอย่างเร่งด่วน

2. ความผิดปกติของโรควิตกกังวล

สิ่งเหล่านี้อาจรวมถึงความวิตกกังวลทั่วไป โรคตื่นตระหนก และโรคกลัว ผู้สูงอายุอาจประสบกับความกังวลใจ ความน้อยใจ หรือความกลัวมากเกินไป ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพ ปัญหาทางการเงิน หรือการแยกตัวออกจากสังคม ตั้งแต่ช่วงแรกในช่วงวัยวัยสูงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่อาจเกิดขึ้นได้เองโดยธรรมชาติจากความเครียด

3. ความบกพร่องทางสติปัญญาและภาวะสมองเสื่อม

ความบกพร่องทางสติปัญญาและภาวะสมองเสื่อม

ภาวะต่าง ๆ เช่น โรคอัลไซเมอร์ และภาวะสมองเสื่อมในรูปแบบอื่น ๆ พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของการรับรู้ที่ลดลง เช่น ความจำ การแก้ปัญหา และทักษะทางภาษา

4. ความผิดปกติของการนอนหลับ

ความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ทำให้มีอาการนอนไม่หลับและปัญหาการนอนหลับอื่น ๆ เป็นเรื่องปกติ และอาจเป็นทั้งอาการและสาเหตุของปัญหาสุขภาพจิต

5. ภาวะโศกเศร้าและการสูญเสีย

ภาวะโศกเศร้าและการสูญเสีย

ผู้สูงอายุมักเผชิญกับการสูญเสียครั้งใหญ่ รวมถึงการเสียชีวิตของคู่สมรส เพื่อนฝูง หรือการสูญเสียอิสรภาพ ความโศกเศร้าอาจส่งผลต่อสุขภาพจิต และสามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลได้

สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงปัญหาสุขภาพจิตเหล่านี้และหาวิธีการรักษาที่เหมาะสม การตรวจพบปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะสามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่เผชิญกับปัญหาหรือการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเหล่านี้ได้อย่างมาก


วิธีดูแลส่งเสริมสุขภาพจิต และเข้าใจการเปลี่ยนแปลง

วิธีดูแลส่งเสริมสุขภาพจิต และเข้าใจการเปลี่ยนแปลง

การดูแลสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ และการทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของพวกเขานั้นต้องใช้แนวทางที่มีความเห็นอกเห็นใจและรอบรู้ สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าปัญหาสุขภาพจิตในผู้สูงอายุมักจะแตกต่างจากปัญหาในผู้ที่มีอายุน้อยกว่า ทั้งในด้านอาการและวิธีแสดงออก ต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์บางประการ เพื่อให้การดูแลและทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลง

ทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลง

อาการสูงวัยสามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อสุขภาพจิตใจ สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ และทำความเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลต่อผู้สูงอายุอย่างไร ความท้าทายทางอารมณ์ที่พบบ่อย ได้แก่ ความรู้สึกเหงา กลัวการพึ่งพา และการจัดการกับการสูญเสีย

กลยุทธ์ในการรับมือ

วิธีการรับมือเป็นสิ่งสำคัญ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผู้สูงอายุชอบ ส่งเสริมความสัมพันธ์ทั้งทางสังคมและในครอบครัว รวมถึงการจัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการแสดงอารมณ์สามารถช่วยผู้สูงอายุในการจัดการการเปลี่ยนแปลงอารมณ์เหล่านี้ได้อย่างมาก

บทบาทของการออกกำลังกายและโภชนาการ

  • การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพจิต การออกกำลังกายมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาวะทางใจ การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยปรับปรุงอารมณ์ ลดความวิตกกังวล และปรับปรุงการทำงานของการรับรู้ของสมอง นี่เป็น การออกกำลังกายประเภทใดที่เหมาะกับผู้สูงอายุ โดยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม
  • ความต้องการทางโภชนาการ โภชนาการที่เหมาะสมมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพจิตเช่นกัน อาหารที่สมดุลซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นสามารถปรับปรุงอารมณ์และการทำงานของสมองได้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่หัวข้อ อาหารอะไรที่ผู้สูงอายุควรรับประทาน?

ชุมชนที่ให้การสนับสนุน

ชุมชนที่ให้การสนับสนุน

  • ความสำคัญของชุมชนผู้สูงอายุ ชุมชนผู้สูงอายุเสนอพื้นที่ที่ผู้สูงอายุสามารถมีส่วนร่วมกับเพื่อนฝูง เข้าร่วมกิจกรรม และได้รับการสนับสนุน หากต้องการทำความเข้าใจเพิ่มเติมดูได้ที่ ชุมชนผู้สูงอายุคืออะไร
  • บทบาทของผู้ดูแล ผู้ดูแลมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ โดยสามารถให้การสนับสนุนด้านอารมณ์ ช่วยในการรักษาวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี และสนับสนุนการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชนของผู้สูงอายุได้

การดูแลสุขภาวะทางอารมณ์ในผู้สูงอายุนั้นมีความซับซ้อนและต้องให้ความสำคัญต่อสุขภาพจิตไปพร้อม ๆ กันด้วย การทำความเข้าใจ วิธีดูแลส่งเสริมสุขภาพจิต การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ การออกกำลังกายและโภชนาการ และการสร้างชุมชนที่สนับสนุนถือเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ดูแลมีบทบาทสำคัญอย่างมาก ในการช่วยให้ผู้สูงอายุจัดการกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างมีสุขภาวะ และรับมือได้อย่างเหมาะสม รวมถึงเป็นการเตรียมพร้อมดูแลผู้สูงอายุในบ้านได้อย่างทันท่วงที


คำถามที่พบบ่อย

1. การออกกำลังกายช่วยให้สุขภาพจิตผู้สูงอายุดีขึ้นได้อย่างไร?

การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยเพิ่มอารมณ์ ลดความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้า และปรับปรุงการทำงานของสมอง

2. การรับประทานอาหารประเภทใดที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพจิตใจของผู้สูงอายุ?

อาหารที่สมดุลและอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดี

3. ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่ผู้สูงอายุมักเผชิญมีอะไรบ้าง?

ผู้อาวุโสมักจะเผชิญกับความรู้สึกเหงา กลัวการพึ่งพา และการรับมือกับการสูญเสีย

4. ผู้ดูแลสามารถดูแลสุขภาพจิตผู้สูงอายุได้อย่างไร?

ผู้ดูแลสามารถให้การสนับสนุนด้านอารมณ์ ช่วยเหลือในการดำเนินวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ และสนับสนุนการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน เพื่อไม่ให้ผู้สูงอายุรู้สึกลดทอนความสำคัญของตนเอง


อ้างอิง :

โรคสูงวัยเป็นส่วนหนึ่งตามธรรมชาติของชีวิต แต่ยิ่งอายุมากขึ้นและการเสื่อถอยของร่างกายสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของเราได้ บทความนี้จะพาทุกคนมาสำรวจ 10 นิสัยประจำวัน ที่สามารถช่วยให้ผู้สูงอายุชะลอวัย โดยเน้นที่การมีรักษาสุขภาพที่ยืนยาวและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งนิสัยเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม และง่ายต่อการรวมเข้ากับกิจวัตรประจำวัน จะมีอะไรบ้าง ตามมาดูกัน


10 นิสัยประจำวัน เพื่อชะลอวัยและรักษาสุขภาพที่ยืนยาว

1. การเลือกรับประทานอาหารตามโภชนาการ

10 นิสัยประจำวัน การเลือกรับประทานอาหารตามโภชนาการ

การรับประทานอาหารที่สมดุลเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้สูงอายุ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการได้รับสารอาหารที่เหมาะสมเพื่อรักษาระดับพลังงาน เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และป้องกันการขาดสารอาหาร รวมถึงผลไม้ ผัก โปรตีนไร้ไขมัน ธัญพืชเต็มเมล็ด และไขมันที่ดีต่อสุขภาพหลากหลายชนิดไว้ในอาหารของคุณ โปรดจำไว้ว่าสิ่งที่คุณกินส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของคุณ หากต้องการคำแนะนำโดยละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ผู้สูงอายุควรกินอาหารประเภทใด

2. การออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความยืดหยุ่น และสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด กิจกรรมง่าย ๆ เช่น การเดิน การยืดกล้ามเนื้อ หรือโยคะสามารถให้ประโยชน์ต่อร่างกายได้มากมาย มันไม่ได้เกี่ยวกับการออกกำลังกายที่หนักหน่วง แต่เป็นการหาวิธีที่สนุกสนานและยั่งยืนในการออกกำลังกาย รวมถึงเป็นการออกกำลังที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับผู้สูงอายุด้วย บทความแนะนำ การออกกำลังกายประเภทใดที่เหมาะกับผู้สูงอายุ

3. บทบาทของการดื่มน้ำต่อสุขภาพผู้สูงอายุ

การรักษาความชุ่มชื้น โดยเฉพาะการดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย รวมถึงการย่อยอาหารและการควบคุมอุณหภูมิ ภาวะขาดน้ำอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้ ดังนั้น แนะนำให้ผู้อายุหมั่นจิบน้ำตลอดทั้งวันจึงเป็นเรื่องสำคัญ หากไม่ชอบน้ำเปล่า ลองเติมมะนาว แตงกวาฝาน หรือดื่มชาอ่อน ๆ เพื่อเพิ่มรสชาติ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดื่มน้ำในผู้สูงอายุ ได้ที่บทความดังกล่าว

4. การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

การป้องกันและการตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอปย่างน้อยปีละครั้ง เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและจัดการปัญหาสุขภาพ การตรวจสุขภาพเหล่านี้ช่วยในการตรวจพบปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้เร็ว ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่ารอให้ร่างกายแสดงอาการ ทำให้การตรวจสุขภาพเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุเป็นประจำ

5. การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

การพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกาย โดยเฉพาะการนอนหลับที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพ ช่วยเรื่องความจำ สมาธิ และซ่อมแซมร่างกาย ตั้งเป้าการนอนหลับอย่างมีคุณภาพให้ได้ 7-8 ชั่วโมงในแต่ละคืน สร้างกิจกรรมก่อนนอนที่สงบและให้แน่ใจว่าห้องนอนเอื้อต่อการพักผ่อน

6. ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

การอยู่ร่วมกันทางสังคมช่วยป้องกันภาวะโดดเดี่ยวและความซึมเศร้าได้ หากคุณต้องดูแลผู้สูงอายุแนะนำให้พาไปร่วมในกิจกรรมของชุมชน สมัครเป็นสมาชิกชมรม หรือหากคุณต้องการดูแลตัวเองการติดต่อกับครอบครัวและเพื่อนฝูง ออกไปพบปะผู้คนข้างนอกบ้าง ก็จะทำให้สุขภาพจิตใจดีขึ้น ส่งเสริมการให้กำลังใจและการมีส่วมร่วมกับผู้คนในสังคมได้

7. กระตุ้นสมอง

รักษาจิตใจให้เฉียบแหลม และมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ท้าทายสมอง เช่น ปริศนาคำทาย การอ่าน หรือการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ สามารถช่วยรักษาการทำงานของสมองและป้องกันความเสื่อมถอยได้

8. การจัดการความเครียด

ค้นหาความสงบ ความสมดุล และจัดการกับความเครียดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดูแลสุขภาพจิตและร่างกาย เทคนิคต่าง ๆ เช่น การทำสมาธิ การหายใจลึก ๆ หรืองานอดิเรกสามารถช่วยลดระดับความเครียดได้ ค้นหาสิ่งที่เหมาะกับคุณ และทำให้เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน

9. ตรวจคัดกรองสุขภาพเป็นประจำ

ตรวจคัดกรองสุขภาพเป็นประจำ

นอกเหนือจากการตรวจสุขภาพตามปกติแล้ว การตรวจคัดกรองสุขภาพอย่างละเอียดโดยเฉพาะก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะโรคทั่วไปในผู้สูงอายุ ซึ่งอาจรวมถึงการตรวจคัดกรองการมองเห็น การได้ยิน และโรคเรื้อรัง การทำความเข้าใจ 10 โรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ ก็สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมว่าการตรวจร่างกายใดบ้างที่จำเป็น

10. ทัศนคติเชิงบวก

การมองโลกในแง่ดี และการรักษาทัศนคติเชิงบวกต่อชีวิตอาจส่งผลอย่างมากต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ ยอมรับความแก่ชราด้วยการมองโลกในแง่ดี และมุ่งเน้นไปที่การดูแลสุขภาพร่างกายควบคู่ไปกับสุขภาพจิตใจ


คำแนะนำเพิ่มเติมในการดูแลผู้สูงอายุ

คำแนะนำเพิ่มเติมในการดูแลผู้สูงอายุ

การดูแลผู้สูงอายุเป็นเรื่องเกี่ยวกับการส่งเสริมวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี ปลอดภัย ซึ่งต้องใช้ความอดทน ความเข้าใจ และความเอาใจใส่ต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป นี่เป็นคำแนะนำเพิ่มเติมในการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดี

ความปลอดภัยภายในบ้าน

  • ปรับเปลี่ยนพื้นที่อยู่อาศัย: ติดตั้งราวจับในห้องน้ำ จัดให้มีแสงสว่างที่ดี และขจัดอันตรายจากการสะดุดล้ม เพื่อทำให้พื้นที่อยู่อาศัยปลอดภัยยิ่งขึ้น
  • ความปลอดภัยในบ้าน: มีเบอร์โทรติดต่อฉุกเฉิน ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุล้มหรือเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์

สุขอนามัยส่วนบุคคล

  • ช่วยเหลืองานประจำวัน: ช่วยหรือให้แน่ใจว่าผู้อายุสามารถจัดการดูแลตัวเองได้ เช่น การอาบน้ำ การแต่งตัว และการแปรงฟัน
  • การดูแลผิว: ให้ความสำคัญกับการดูแลผิว เนื่องจากผิวของผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะแห้งกร้านและได้รับบาดเจ็บง่าย

ส่งเสริมภาวะทางอารมณ์และจิตใจ

  • การฟังและทำความเข้าใจ: คนในครอบครัวควรทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี โดยรับฟังและเข้าใจความกังวลความรู้สึกของผู้สูงอายุ
  • ความเคารพและความเป็นอิสระ: ส่งเสริมความเป็นอิสระในทุกที่ที่เป็นไปได้ พร้อมให้ความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น

การดูแลอย่างมืออาชีพ

  • บริการดูแลที่บ้าน: หากจำเป็นควรพิจารณาความช่วยเหลือจากผู้ดูแลมืออาชีพในกิจกรรมประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขามีอาการป่วยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
  • การประเมินความต้องการ: ประเมินความต้องการเป็นประจำเพื่อปรับแผนการดูแลเมื่อสุขภาพเปลี่ยนแปลง

การเสื่อมสลายของร่างกายเกี่ยวข้องกับการดูแลตัวเองที่ส่งเสริมการมีอายุยืนยาวและความเป็นอยู่ที่ดีด้วย ซึ่งรวมถึง 10 นิสัยประจำวัน เพื่อชะลอวัยอย่างการรักษาอาหารที่สมดุล ออกกำลังกายให้เพียงพอ ตรวจสุขภาพเป็นประจำ นอนหลับให้เพียงพอ มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม กระตุ้นสมอง การจัดการความเครียด เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ และรักษาทัศนคติเชิงบวก นิสัยแต่ละอย่างมีส่วนช่วยในการชะลอวัยแบบองค์รวม เพื่อให้มั่นใจว่าผู้สูงอายุไม่เพียงแต่มีอายุยืนยาวขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย


คำถามที่พบบ่อย

1. ผู้สูงอายุมีวิธีออกกำลังกายง่าย ๆ อะไรบ้าง?

กิจกรรมง่าย ๆ เช่น การเดิน การยืดกล้ามเนื้อ และการเล่นโยคะเบา ๆ สามารถให้ประโยชน์และเป็นการออกกำลังที่ดีสำหรับผู้สูงอายุได้

2. การดื่มน้ำมีความสำคัญต่อผู้สูงอายุอย่างไร?

มีความสําคัญอย่างมาก การดื่มน้ำอย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย และป้องกันภาวะแทรกซ้อนด้านสุขภาพ

3. เหตุใดการตรวจสุขภาพเป็นประจำจึงสำคัญสำหรับผู้สูงอายุ?

การตรวจสุขภาพช่วยในการตรวจพบและจัดการปัญหาสุขภาพได้เร็ว ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น

4. ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสามารถส่งผลต่อสุขภาพของผู้อายุได้จริงหรือ?

ใช่ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสามารถปรับปรุงสุขภาพจิตได้อย่างมาก โดยลดความรู้สึกโดดเดี่ยวและซึมเศร้าได้


อ้างอิง :

วิธีดูแลผู้สูงอายุ อย่างถูกต้องและสุขภาพดีทั้งกายใจ

“ผู้สูงอายุ” เป็นวัยที่ลูกหลานต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องด้วยสภาพร่างกายที่เสื่อมสมรรถภาพไปตามกาลเวลา รวมไปถึงสภาวะจิตใจที่บอบบางอ่อนไหวได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ ทำให้คนในครอบครัวต้องคอยดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ดังนั้น หากเรามีความรู้และทักษะในการรับมือ และมี วิธีดูแลผู้สูงอายุ อย่างถูกวิธี ก็จะทำให้ผู้สูงอายุมีสภาพร่างกาย และจิตใจที่แจ่มใสเบิกบาน พร้อมอยู่กับคนในครอบครัวอย่างยืนนาน


เมื่อต้องดูแลผู้สูงอายุควรเตรียมตัวอย่างไร

วิธีดูแลผู้สูงอายุ

เมื่อต้องดูแลผู้สูงอายุ สิ่งแรกที่ต้องคำนึงและเตรียมตัว นั่นคือ การศึกษาความรู้เพื่อให้มีความเข้าใจในผู้สูงอายุ ทั้งร่างกายและอารมณ์ที่ผู้ดูแลจะต้องรับมือ เนื่องด้วยสภาพอารมณ์ที่อาจจะมีการแปรปรวน หลงลืม หรือวิตกกังวล และสุขภาพร่างกายที่เสื่อมโทรม เพื่อที่เราจะได้รักษาได้ในเบื้องต้น

พร้อมกันนี้ผู้ดูแลก็จะต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สภาวะอารมณ์แจ่มใสละเว้นจากความเครียด ก็จะทำให้การดูแลผู้สูงอายุมีประสิทธิภาพมากขึ้น แนะนำ การดูแลผู้สูงอายุอย่างถูกวิธี


วิธีดูแลผู้สูงอายุ ให้สุขภาพดีทั้งกายใจ

วิธีดูแลผู้สูงอายุ

1. สภาพแวดล้อมที่ดี

สำหรับสภาพแวดล้อมถือได้ว่าเป็นหนึ่งในวิธีดูแลผู้สูงอายุ และเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงเป็นอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยจะต้องปลอดโปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดีสดชื่น ร่มรื่น เพราะนั่นจะทำให้ผู้สูงอายุมีความรู้สึกที่ผ่อนคลายมีคุณภาพชีวิตที่ดี

2. ควบคุมเรื่องอาหาร

ในเรื่องของอาหารการกิน เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญสำหรับดูแลผู้สูงอายุ ในการที่จะให้ผู้สูงอายุได้รับสารอาหารที่เพียงพอและครบถ้วน ถูกสุขอนามัยตามหลักโภชนาการ และเน้นอาหารที่ค่อนข้างย่อยง่าย ไขมันต่ำ

3. หมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ

เรื่องของสุขภาพเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยด้วยเช่นกัน เพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นกระดูก หรือกล้ามเนื้อ ก็จะทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมสมรรถภาพช้าลง รวมถึงระบบไหลเวียนต่าง ๆ ให้มีระบบหมุนเวียนที่คล่องตัวมากขึ้น โดยการออกกำลังกายอาจจะเป็นการเดิน การยืนแกว่งแขน บริหารกายภาพ อย่างน้อยวันละ 10 – 20 นาที จะทำให้สุขภาพร่างกายของผู้สูงอายุแข็งแรงมากขึ้น

4. ควบคุมน้ำหนักตัว

การควบคุมน้ำหนักตัว เป็นสิ่งที่ควรต้องพึงกระทำ เนื่องจากการที่ผู้สูงอายุมีน้ำหนักตัวมากจนเกินไป อาจเป็นการส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย และอาจก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมา พร้อมกันนี้การควบคุมน้ำหนักจะช่วยลดในเรื่องของปัญหาข้อและกระดูกอีกด้วย

5. หากิจกรรมทำร่วมกัน

ในวัยของผู้สูงอายุในบางราย เกิดสภาวะอารมณ์แปรปรวน ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์น้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกเหมือนไม่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ซึ่งอาการนี้อาจทำให้สภาพจิตใจนั่นแย่ลง การหากิจกรรมทำร่วมกัน หมั่นหากิจกรรมที่มีประโยชน์ได้ทำร่วมกัน สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ และเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว นอกจากนั้น ยังเป็นการผ่อนคลายความเครียดอีกด้วย

6. หมั่นตรวจสุขภาพประจำปี

อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรละเลยในการดูแลผู้สูงอายุ นั่นก็คือ การพาไปตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคร้ายต่าง ๆ ที่อาจตามมา เพื่อที่จะได้รักษาอาการได้ทันถ่วงที พร้อมกับการวางแผนรักษาในระยะยาวต่อไป หากต้องพา ผู้สูงอายุตรวจสุขภาพ ควรเตรียมตัวอย่างไร?

7. สังเกตพฤติกรรมอารมณ์และร่างกายของผู้สูงอายุ

ลูกหลานหรือคนในครอบครัว ควรที่จะหมั่นสังเกตพฤติกรรมอารมณ์และร่างกายของผู้สูงอายุ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่ เพื่อเช็กความผิดปกติไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกายหรืออารมณ์ เพื่อป้องกันเฝ้าระวังและหาวิธีรักษาได้ทันตั้งแต่เนิ่น ๆ 

8. ละเว้นสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ

การดูแลผู้สูงอายุในส่วนของการละเว้นสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือพฤติกรรมอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย ควรที่จะ งด ละ เลิก ทั้งหมด เพื่อป้องกันความเสื่อมสภาพของร่างกายที่จะตามมา


ข้อควรระวังในการดูแลผู้สูงอายุ

ข้อควรระวังในการดูแลผู้สูงอายุ

สำหรับวิธีการดูแลผู้สูงอายุ นอกจากคนในครอบครัวและลูกหลานจะดูแลเอาใจใส่แล้ว ยังมีเรื่องของข้อควรระวังในการดูแลผู้สูงอายุ ก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน หากเราสามารถหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ที่ทำให้ผู้สูงอายุก่อเกิดความเครียดได้ ก็จะทำให้การดูแลผู้สูงอายุมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งทางกายและจิตใจ เป็นข้อควรระวังที่คนในครอบครัวควรปฏิบัติ

1. ระมัดระวังคำพูดที่กระทบจิตใจ

สิ่งข้อควรระวังอย่างแรก นั่นก็คือ คำพูดของลูกหลานที่มีต่อผู้สูงอายุ การที่จะพูดหรืออธิบายควรที่จะใช้คำพูดหรือการกระทำอย่างระมัดระวัง ไม่พูดจาที่กระแทกหรือใส่อารมณ์ เพราะวัยสูงอายุเป็นวัยที่สภาพจิตใจนั้นบอบบาง

2. ให้ความสำคัญ ไม่ละเลย

ลูกหลานต้องหมั่นเข้าไปถามไถ่พูดคุยกับผู้สูงอายุอยู่บ่อยครั้ง เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นหนึ่งในคนสำคัญของครอบครัว ในบางเรื่องอาจให้อำนาจในการตัดสินใจ รวมไปถึงการเห็นคุณค่าและเคารพนับถือ 

3. การใช้ยาที่ไม่เหมาะสม

ในส่วนของวิธีดูแลผู้สูงอายุ ในด้านของสิ่งที่ควรต้องระวัง นั่นก็คือ หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่เหมาะสมต่อผู้สูงอายุบุคคลนั้น ๆ คนในครอบครัวควรที่จะมีความรู้ความเข้าใจในการใช้ยาพื้นฐาน ว่าผู้สูงอายุสามารถทานได้หรือไม่ได้ เพราะหากขาดความรู้ความเข้าใจ อาจส่งผลเสียต่อสุขร่างกายของผู้สูงอายุได้

4.การเกิดอุบัติเหตุ

อีกหนึ่งข้อควรระวังในการดูแลผู้สูงอายุ คือ การดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็น การหกล้ม หรือ พลัดตก ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นสิ่งที่ตามมา เนื่องจากการเคลื่อนไหวของผู้สูงอายุ ที่ไม่มีความแข็งแรงเคลื่อนไหวตัวไม่สะดวก ดังนั้น การจัดบริเวณที่อยู่อาศัย จึงเป็นสิ่งที่สำคัญควรจะให้มีความเหมาะสม เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้

 

สำหรับวิธีดูแลผู้สูงอายุ หากคนในครอบครัวมีความรู้ความเข้าใจในการดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ ย่อมจะส่งผลดีให้แก่ผู้สูงอายุที่เราเคารพรัก เพื่อผู้สูงอายุจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ร่าเริงแจ่มใส หากทุกคนช่วยกันหันมาดูแล ก็จะทำให้ผู้สูงอายุมีอายุที่ยืนยาว อยู่ในครอบครัวที่แสนอบอุ่นต่อไปได้


อ้างอิง

สังคมผู้สูงอายุ เป็นสังคมที่เน้นคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ โดยมุ่งเน้นการให้บริการด้านสุขภาพ การเกษียณอายุ ที่พักอาศัยที่มีความเหมาะสม และการพัฒนากิจกรรมสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อให้พวกเขาสามารถมีชีวิตอย่างมั่นคงและมีคุณภาพได้ตลอดชีวิต เนื่องจากปริมาณผู้สูงอายุในประเทศไทยกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสังคมต้องการให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลและเข้าร่วมกิจกรรมที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การพัฒนาสังคมผู้สูงอายุจึงเป็นเรื่องสำคัญและควรได้รับความสนใจจากทุกภาคส่วนในสังคม


สังคมผู้สูงอายุ คืออะไร

สังคมผู้สูงอายุ คืออะไร

ประเทศไทยอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางประชากรอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะด้านโครงสร้างอายุของประชากร ที่มีสัดส่วนของประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง Aging Society หรือ สังคมผู้สูงอายุ คืออะไรนั้น อ้างอิงจากคำจำกัดความขององค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN World Population Ageing) ได้นิยามคำว่าสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) และผู้สูงอายุ (Older person) หมายถึง กลุ่มของประชากรทั้งเพศชายและหญิงที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป รวมทั้งได้แบ่งระดับของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 

  1. ระดับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปีมากกว่าร้อยละ 7 ของประชากรทั้งประเทศ แสดงว่าประเทศนั้นกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
  2. ระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปีมากกว่าร้อยละ 14 ของประชากรทั้งประเทศ แสดงว่าประเทศนั้นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์
  3. ระดับสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ (Super-Aged Society) หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ แสดงว่าประเทศนั้นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่

สำหรับประเทศไทย สำนักงานสถิติแห่งชาติสรุปว่าไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ตั้งแต่ปี 2548 (2005) โดยมีประชากรผู้สูงอายุร้อยละ 10.4 ของประชากรทั้งประเทศและคาดว่าจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในช่วงปี 2567-2568 (2024-2025) สรุปได้ว่า ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับ Aging Society เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2548 แล้วกำลังที่จะเขยิบขึ้นไปสู่สังคม ผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ไม่เกินปี 2567 แน่นอน เราควรเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์เปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้และอนาคตอันใกล้อย่างเข้าใจและควรปรับตัว เรียนรู้ให้ได้เท่าทัน

ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างมีคุณภาพ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของคุณภาพชีวิตของคนทุกช่วงวัยในประเทศ เพราะการเตรียมความพร้อมทั้งเรื่องของความมั่นคงทางการเงิน และสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ หากทำให้คนในประเทศเห็นความสำคัญของการดูแลตัวเองในเรื่องต่าง ๆ ตั้งแต่ปัจจุบัน เราจะเป็นประเทศที่อยู่ในสังคมผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพในอนาคต


เคล็ดลับอายุยืน ทำอย่างไรนั้น ต้องสร้างขึ้นทั้งกายและใจ 

การเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างมีคุณภาพเป็นเป้าหมายสำคัญของประเทศไทย โดยค้นหาปัญหาที่แท้จริงของผู้สูงอายุในประเทศไทยในมิติต่าง ๆ ทั้งเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ การเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อม ชุมชน สังคม รายได้ การพัฒนาศักยภาพรวมถึงเรื่องราวของโรคภัยไข้เจ็บ รวมถึงการจัดการกับปัญหาเพื่อหาทางออกสำหรับผู้สูงอายุ เรียกได้ว่าเป็น “เคล็ดลับ” อายุยืนให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้น 

เคล็ดลับอายุยืน ทำอย่างไร เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

เคล็ดลับอายุยืน ทำอย่างไร? ในด้านร่างกายก็เป็นผลมาจากเรื่องง่ายๆ อย่างการเคลื่อน ไหวร่างกายหรือออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ เชื่อมั้ยว่า แค่เราขยับร่างกายวันละไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ก็อาจจะช่วยต่ออายุคุณให้ยืนยาวไปอีกหลายปี โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. ถ้าไม่อยากป่วย จงลุกขึ้นมา

ผู้ที่อายุมากขึ้นและอยู่ในอาการเฉื่อยชา ควรหันมาเริ่มออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกาย อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเข้าร่วม โปรแกรมใด ๆ ก่อนเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ไปดูคำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นออกกำลังกายกันเลย

ขั้นแรกเริ่มด้วยการเลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่ชื่นชอบมากที่สุด ซึ่งมีความหนักในระดับปานกลาง เพราะการเลือกกิจกรรมที่เราชอบ จะทำให้เราอดทนออกกำลังได้นานขึ้น จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มเวลาในการออกกำลังทีละน้อยทุก ๆ 2-3 วัน จนกระทั่งออกกำลังได้นานต่อเนื่องครั้งละ 30 นาที โดยไม่รู้สึกเหนื่อยเกินไป

เมื่อใช้เวลาออกกำลังครั้งละ 30 นาทีจนอยู่ตัวแล้ว ให้ค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาขึ้นอีก หรือเพิ่มความหนักหน่วงของกิจกรรม หรือทั้งสองอย่างเลยก็ได้ ต่อมาให้เริ่มเปลี่ยนรูปแบบการออกกำลังกายให้หลากหลาย เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ และได้รับประโยชน์หลาย ๆ ด้าน

2. ออกกำลังกายไล่ความเจ็บป่วย

ผู้ที่ดูแลร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงและกระฉับกระเฉงอยู่เสมอ จะมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง แม้อายุจะมากขึ้น เรื่องนี้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคโลราโดแห่งโบลเดอร์ สหรัฐฯ พบว่า การลดลงของแอนติบอดี อันเนื่องมาจากอายุ เป็นสัญญาณว่าร่างกายมีภูมิคุ้มกันน้อยลง แต่การออกกำลังกายจะช่วยคงสภาพการตอบสนองของเซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน (T-Cell) อย่างเหมาะสม

ดังนั้น การออกกำลังกายจึงมีความสำคัญสำหรับผู้ที่อยู่ในวัย 50 ปีขึ้นไป เพราะคนในวัยนี้มักมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันได้ง่าย และยังเป็นแนวทางการป้องกัน โรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ

3. ร่างกายสมบูรณ์ สมองก็ฟิต

ผู้ใหญ่ที่มีร่างกายกระฉับกระเฉงจะมี สมาธิดี อาจช่วยรักษาความจำและต่อสู้กับภาวะความจำเสื่อมได้ จากการศึกษาของนักวิจัยจากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ไฟน์เบิร์ก แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น พบว่า วิถีชีวิตแบบทำงานนั่งโต๊ะ มีผลเสียโดยตรงต่อความสามารถทางปัญญาและคุณภาพการนอนหลับเมื่อเราอายุมากขึ้น

ในการศึกษาครั้งนี้ นักวิจัยให้ชายและหญิงอายุ 67-86 ปี ที่ช่วยเหลือตัวเองได้ดี เข้าร่วมการศึกษาเป็นเวลา 2 สัปดาห์ตามข้อกำหนด โดยให้พวกเขาออกกำลังกายเบาๆ นาน 30 นาที ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม 30 นาที และปิดท้ายด้วยการออกกำลังกายเบา ๆ ถึงปานกลางอีก 30 นาที

ในแต่ละครั้งจะเริ่มต้นด้วยการอบอุ่นร่างกาย เช่น เหยียดแขน ขา และออกกำลังกายเบา ๆ ถึงปานกลาง (เดินหรือออกกำลังร่างกายส่วนบนและส่วนล่าง) ในช่วงสุดท้ายให้ออกกำลังกายเบา ๆ ถึงปานกลาง ได้แก่ การเดินเร็ว กายบริหาร หรือเต้นรำ และทำให้ร่างกายเย็นลง 10 นาที โดยทั้งหมดนี้ครอบคลุมระยะเวลา 90 นาที

เมื่อครบกำหนดระยะเวลา 2 สัปดาห์ ผู้เข้าร่วมวิจัยได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสมอง และมีคุณภาพการนอนที่ดีขึ้น หลับลึกขึ้น และตื่นระหว่างคืนน้อยลงถึงร้อยละ 4-6

4. อายุไม่ใช่ข้ออ้างอีกต่อไป

การศึกษาโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ชายและหญิงอายุระหว่าง 50-60 ปี อยากมีร่างกาย ที่กระฉับกระเฉงขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในภาวะหรือมีอุปนิสัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือสูบบุหรี่

โดยนักวิจัยได้เฝ้าติดตามผู้สูงอายุจำนวน 9,611 ราย พบว่า ผู้ที่อยู่ในช่วงอายุ 50-60 ปี และยังมีความกระฉับกระเฉงอยู่เสมอ มีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตใน 8 ปีข้างหน้า น้อยกว่าผู้ที่ทำงานนั่งโต๊ะร้อยละ 35 ซึ่งความเสี่ยงที่ลดลงนั้น พบในผู้เข้าร่วมทำการศึกษาที่ออกกำลังกายระดับปานกลางทั่ว ๆ ไป เช่น เดินเล่น ทำสวน และเต้นรำ แม้แต่คนอ้วนก็จะมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตน้อยลง หากรู้สึกกระฉับกระเฉงอยู่เสมอ


การจัดการอารมณ์และสร้างกำลังใจ

การจัดการอารมณ์และสร้างกำลังใจ

นอกจากการดูแลร่างกายแล้ว เคล็ดลับอายุยืน ทำอย่างไร? ในด้านจิตใจนั้นใช้หลักจิตวิทยาพร้อมเทคนิคง่าย ๆ ในการจัดการอารมณ์ของตัวเอง และสร้างกำลังใจให้สามารถปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ได้อย่างยั่งยืน โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. รู้จักธรรมชาติตนเอง

ถ้ารู้ว่าเวลาที่ตัวเองหิวจัด จะหยิบอาหารที่ใกล้ตัวเข้าปากทันที ก็ต้องรู้จักวางแผนให้ดี วางระบบให้ร่างกายด้วยการเลือกและเตรียมอาหารล่วงหน้า อย่ารอให้หิวก่อน เพราะเมื่อหิว เรามักจะมีความสามารถในการยับยั้งชั่งใจน้อยลง แนะนำ อาหารสำหรับผู้สูงอายุ ต้องกินแบบไหนถึงดีต่อร่างกาย

2. คำพูดสร้างพลัง

หาคำพูดที่จะช่วยดึงสติให้เราเอาชนะใจตัวเองได้ เช่น สำหรับคนที่กำลังคุมน้ำหนัก เมื่อเห็นอาหารมากมายตรงหน้า ลองถามตัวเองว่า “คุ้มไหม” เพื่อเตือนสติ ป้องกันไม่ให้เผลอกินอาหารที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย

3. หมั่นหาความรู้

พัฒนาทักษะการดูแลสุขภาพตัวเองด้วยวิธีง่าย ๆ เช่น วิธีการอ่านฉลากโภชนาการ หรือ วิธีการออกกำลังกายที่หลากหลายมากขึ้น

4. รู้จักผ่อนคลาย

ไม่ให้อยู่ในสภาวะกดดัน หรือตึงเครียดจนเกินไป ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการความเครียด ไม่จมอยู่กับปัญหา และฝึกปล่อยวาง เทคนิคง่าย ๆ คือการยิ้มให้ตัวเองตอนเช้า เพื่อสร้างอารมณ์ที่ดีรับวันใหม่อย่างแจ่มใส การผ่อนคลายโดยการให้ตัวเองได้ทำกิจกรรมที่ชอบ ยังมีวิธีการจัดการอารมณ์เบื้องต้นที่ง่ายที่สุดคือ การฝึกหายใจให้ยาวและการออกกำลังกาย แต่ถ้าไม่มีเวลา สามารถฝึกหายใจง่าย ๆ ได้ ก่อนและหลังการนอน ช่วงละ 20 ครั้ง

5. มองหาความสุขอย่างง่าย ๆ

คนส่วนใหญ่มักคิดและมองหาความสำเร็จในหน้าที่การงานว่าสามารถทำให้เกิดความสุข จนลืมมองความสุขใกล้ตัวซึ่งเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เช่น ความสุขจากการพูดคุยกับคนในบ้านระหว่างการกินมื้อเย็นร่วมกัน และเมื่อเรามีต้นทุนความสุขดี ๆ การที่เราจะเปลี่ยนแปลงในเรื่องอื่น ๆ ก็จะง่ายขึ้น

 

การจัดการอารมณ์และสร้างกำลังใจสำหรับผู้สูงอาย เป็นวิธีการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในกายและใจของผู้สูงอาย เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ได้อย่างมีคุณภาพ วิธีการเหล่านี้สามารถทำได้โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การทำกิจกรรมที่ชอบ การพูดคุยกับเพื่อนฝูง และการอ่านหนังสือหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ นอกจากนี้ ยังสามารถเรียนรู้เทคนิคการจัดการอารมณ์และการสร้างกำลังใจจากสิ่งอื่น ๆ ได้เช่นกัน


อ้างอิง

โรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ มีหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการเสื่อมสมรรถภาพทางร่างกายและสมอง ซึ่งส่งผลให้ผู้สูงอายุมีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลเพิ่มเติม ดังนั้น การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยจะต้องมีการป้องกันการเกิดโรค และการดูแลรักษาโรคให้เหมาะสม


โรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ 

โรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ 

1. โรคสมองเสื่อม

ผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงในระบบการทำงานของสมองค่อย ๆ เสื่อมลงหรือบกพร่อง เกิดการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ พฤติกรรม และความทรงจำอย่างต่อเนื่อง มักพบมาในผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ เครียด ขาดการออกกำลังกายหรือสูบบุหรี่เป็นเวลานาน และผู้คนที่ในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคสมอง ส่วนมากจะพบในอายุ 60 ปีขึ้นไป

2. โรคกระดูกพรุน

โรคเกิดจากการทำงานของฮอร์โมนลดลงในผู้สูงอายุ พบมากในผู้หญิงสูงอายุ โดยเฉพาะวัยหมดประจำเดือน ส่งผลให้แคลมเซียมสลายออกจากกระดูกมากขึ้น กระดูกมีความหนาแน่นน้อยลง กระดูกบางและเปราะหักง่ายขึ้น ทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก

3. โรคข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าอักเสบ หรือข้อเข่าเสื่อม เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า ผู้ที่ใช้ข้อเข่ามากเกินไปหรือมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน การใช้งานขาและหัวเข่าผิดท่าสะสมเป็นเวลานาน หรือเป็นโรคที่ส่งผลกับเข่า เช่น โรคอ้วน โรคเกาต์ และอาการอักเสบของเข่า เป็นต้น

4. โรคเบาหวาน

เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ ส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงหรือต่ำเกินไป ส่งผลต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจนำไปสู่สภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

5. โรคไต

โรคไตในผู้สูงอายุ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนตามอายุ และการโตขึ้นของเยื่อต่อมลูกหมาก ระยะเริ่มแรกมักจะไม่แสดงอาการ แต่เมื่อไตเสื่อมลง จะเกิดการคั่งของเสียในกระแสเลือด และมีอาการต่าง ๆ ตามมา

6. โรคความดันโลหิตสูง

คนปกติจะมีความดันโลหิต 120/80 มิลลิเมตรปรอท ผู้สูงอายุที่มีความดันโลหิตตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป การมีภาวะระดับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และหลอดเลือดสมองตีบและแตก และทำให้เกิดการเสื่อมลงของหลอดเลือดทั่วร่างกาย ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะได้ไม่ดี โรคความดันโลหิตสูง มีปัจจัยมาจากความอ้วน ภาวะไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ ดื่มสุรา ไม่ออกกำลังกาย และการได้รับสารเคมีหรือยาบางชนิด

7. โรคตา

ตาเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้น ตาจะค่อย ๆ เสื่อมสภาพลงไป โรคตาที่ผู้สูงอายุเป็นกันมาก เช่น โรคต้อกระจก โรคต้อหิน โรคต้อลม โรคจอประสาทตาเสื่อม ตาแห้ง และน้ำวุ้นตาเสื่อม หากดวงตามีอาการผิดปกติควรรีบไปพบจักษุแพทย์ทันที

8. โรคหลอดเลือดหัวใจ

โรคที่คนไทยป่วยมากเป็นอันดับ 2 รองจากโรคมะเร็ง พบมากในกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ สาเหตุของโรคมักเกิดมาจากการสะสมไขมันของเส้นเลือด อายุที่มากขึ้น กรรมพันธุ์ การสูบบุหรี่ และเกิดจากโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน เป็นต้น หากปล่อยให้เวลาผ่านไปจนเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจขั้นรุนแรง อาจเป็นกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือเสียชีวิตแบบปัจจุบันทันด่วน

9. โรคมะเร็ง

ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเป็นอันดับต้น ๆ เนื่องจากอายุมากขึ้นเซลล์ในร่างกายนั้นเสื่อมลง และกลายพันธุ์เป็นก้อนเนื้อที่ควบคุมไม่ได้ มะเร็งในผู้ชายสูงอายุ ได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และมะเร็งตับอ่อน / มะเร็งในผู้หญิงสูงอายุ มักพบมะเร็งของอวัยวะสืบพันธ์ เช่น มดลูก เต้านม และรังไข่ ส่วนอวัยวะอื่น ๆ ก็มีมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งตับอ่อน

10. โรคหลอดเลือดสมอง

อีกหนึ่งโรคที่พบบ่อยในสังคมผู้สูงอายุ สาเหตุสำคัญต่อการเสียชีวิตและพิการ โรคหลอดเลือดสมองเป็นภาวะมีสมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ทำให้สมองหยุดทำงานเฉียบพลันมาจากอาการขาดอาหารและเลือดไปเลี้ยงสมอง ส่งผลให้เซลล์สมองตายสูญเสียการทำหน้าที่จนเกิดอาการของอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โรคนี้มักพบในผู้สูงอายุเพศชายอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป


แนวทางการดูแลผู้สูงอายุให้มีสุขภาพดี 

อาหารสำหรับผู้สูงอายุควรกินอย่างไรจึงเหมาะสม 

  1. เลือกอาหาร วัยนี้ร่างกายมีการใช้พลังงานน้อยลงจากกิจกรรมที่ลดลง จึงควรลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน ให้เน้นอาหารโปรตีนจากเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะปลา และเพิ่มแร่ธาตุที่ผู้สูงอายุมักขาด ได้แก่ แคลเซียม สังกะสี และเหล็ก ซึ่งมีอยู่ในนม ถั่วเหลือง ผัก ผลไม้ ธัญพืชต่าง ๆ และควรกินอาหารประเภทต้ม นึ่ง ย่าง อบ แทนประเภทผัด ทอด จะช่วยลดปริมาณไขมันในอาหารได้ นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวานจัด เค็มจัด และดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน
  2. ออกกำลังกาย หากไม่มีโรคประจำตัว แนะนำให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิกสัก 30 นาทีต่อครั้ง ทำให้ได้สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง จะเกิดประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือดอย่างมาก โดยขั้นตอนการออกกำลังกายจะต้องค่อย ๆ เริ่ม มีการยืดเส้นยืดสายก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มความหนักขึ้นจนถึงระดับที่ต้องการ ทำอย่างต่อเนื่องจนถึงระยะเวลาที่ต้องการ จากนั้นค่อย ๆ ลดลงช้า ๆ และค่อย ๆ หยุด เพื่อให้ร่างกายและหัวใจได้ปรับตัว แนะนำ ผู้สูงอายุควรออกกำลังกายอย่างไรดี 
  3. สัมผัสอากาศที่บริสุทธิ์ จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคได้ อาจเป็นสวนสาธารณะใกล้ ๆ สถานที่ท่องเที่ยว หรือการปรับภูมิทัศน์ภายในบ้านให้ปลอดโปร่ง สะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก มีการปลูกต้นไม้ จัดเก็บสิ่งปฏิกูลให้เหมาะสม เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค และสามารถช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดได้
  4. หลีกเลี่ยงอบายมุข ได้แก่ บุหรี่และสุรา จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรค หรือลดความรุนแรงของโรคได้ ทั้งลดค่าใช้จ่ายในการรักษา และยังช่วยป้องกันปัญหาอุบัติเหตุ อาชญากรรมต่าง ๆ อันเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมในขณะนี้
  5. ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ โดยเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลและโรคที่เป็นอยู่ ส่งเสริมสุขภาพให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง ปรับสภาพแวดล้อมในบ้านให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือการหกล้ม
  6. ควบคุมน้ำหนักตัวหรือลดความอ้วน โดยควบคุมอาหารและออกกำลังกายจะช่วยทำให้เกิดความคล่องตัว ลดปัญหาการหกล้ม และความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม และโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น
  7. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม เช่น การซื้อยากินเอง การใช้ยาเดิมที่เก็บไว้มาใช้รักษาอาการที่เกิดใหม่ หรือรับยาจากผู้อื่นมาใช้ เนื่องจากวัยนี้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตในการกำจัดยาลดลง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดพิษจากยาหรือผลข้างเคียง อาจมีแนวโน้มรุนแรง และเกิดภาวะแทรกซ้อนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ฉะนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาจะดีที่สุด
  8. หมั่นสังเกตอาการผิดปกติต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น คลำได้ก้อน โดยเฉพาะก้อนโตเร็ว แผลเรื้อรัง มีปัญหาการกลืนอาหาร กลืนติด กลืนลำบาก ท้องอืดเรื้อรัง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ไอเรื้อรัง ไข้เรื้อรัง เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอกหรือถ่ายอุจจาระผิดปกติ มีอาการท้องเสียเรื้อรัง ท้องผูกสลับท้องเสีย ถ้าอย่างนี้ล่ะก็ควรพบแพทย์ดีที่สุด
  9. ตรวจสุขภาพประจำปี แนะนำให้ตรวจสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปี หรืออย่างน้อยทุก 3 ปี โดยแพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแข็ง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง ตรวจหาโรคมะเร็งที่พบบ่อย ได้แก่ มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และยังมีตรวจการมองเห็น การได้ยิน ตลอดจนประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุด้วย

สรุป 

เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตลอดจนเพื่อหลีกเลี่ยงการป่วยเป็นโรคที่พบบ่อยผู้สูงอายุนั้น ตัวผู้สูงอายุเองตลอดจนผู้ที่ดูแลไม่ควรมองข้ามการตรวจสุขภาพและการดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี ทั้งการควบคุมอาหาร งดสูบบุหรี่หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หากิจกรรมที่ทำให้ผ่อนคลายความตึงเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ และไม่รับประทานยาเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ ทั้งนี้เพื่อป้องกันโรคต่าง ๆ ไว้ก่อนที่จะสายเกินแก้

แนวทางการดูแลผู้สูงอายุให้มีสุขภาพดีอาจมีแนวทางที่แตกต่างกันไปตามความต้องการ ซึ่งแต่ละแนวทางก็มีข้อดีข้อเสียและข้อจำกัดที่แตกต่างกันรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุ เช่น การดูแลผู้สูงอายุด้วยตัวผู้สูงอายุเองคือการที่ผู้สูงอายุสามารถดำเนินชิวิตได้ด้วยตนเอง โดยมีการพึ่งพาผู้อื่นน้อยที่สุด ผู้สูงอายุมีความพอใจกับความสุขตามอัตภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี ผู้สูงอายุมีความสามารถทำตัวให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว สังคม เพื่อสร้างความภูมิใจในคำยกย่องจากสังคมโดยรวมการ สำหรับดูแลผู้สูงอายุด้วยคนในครอบครัวเป็นการดูแลผู้สูงอายุทั้งในเรื่องของปัจจัยสี่ การให้อาหาร ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และการดูแลรักษาสุขภาพทั้งการเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจ

สำหรับการดูแลผู้สูงอายุโดยสถาบันต่าง ๆ เช่น สถานสงเคราะห์ สถานพยาบาลหรือสถานที่รับดูแลผู้สูงอายุโดยเฉพาะ เป็นต้น มีรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชน เป็นการกระตุ้นให้คนในชุมชนมีจิตสำนึกเพื่อร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาบริการต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกในชุมชนระหว่างตัวผู้สูงอายุเอง ครอบครัว คนในชุมชนและสถาบันทางสังคมต่าง ๆ ที่มีลักษณะการบริการที่แตกต่างกัน การ เตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

ทั้งนี้ แนวทางการดูแลผู้สูงอายุให้มีสุขภาพดี บทบาทสำคัญอยู่ที่ครอบครัวกับผู้สูงอายุ โดยครอบครัวต้องตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลผู้สูงอายุต้องมีเจตคติที่ดีต่อความสูงวัยอันจะทำให้เกิดความเข้าใจ ความเอื้ออาทรอย่างแท้จริงในการดูแลผู้สูงอายุ หากจะเปรียบเทียบความสำคัญระหว่างความรู้ในการปฏิบัติดูแลผู้สูงอายุกับการส่งเสริมให้คนในครอบครัวตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุ ความสำคัญจะอยู่ที่การสร้างความตระหนักให้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวมากกว่า


อ้างอิง

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือต้องให้ความสำคัญกับการ ตรวจสุขภาพ ผู้สูงอายุ เป็นประจำ ซึ่งการตรวจสุขภาพเหล่านี้สามารถช่วยระบุปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำให้สามารถรักษาและจัดการได้ทันท่วงที นอกจากการตรวจสุขภาพเป็นประจำแล้ว ยังต้องส่งเสริมพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ ทั้งการรับประทานอาหารที่ดี ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และทำกิจกรรมทางสังคมอยู่เสมอ ซึ่งส่งผลอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตและผลลัพธ์ด้านสุขภาพโดยรวม


ตรวจสุขภาพ ผู้สูงอายุ เมื่อต้องเตรียมตัวและเกลี้ยกล่อมผู้สูงอายุให้ไปตรวจ

ตรวจสุขภาพผู้สูงอายุ เตรียมตัวอย่างไรและในเบื้องต้นควรตรวจอะไรบ้าง

ผู้สูงอายุหลายคนเข้าใจว่าตนเองมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงมาตลอด ไม่เจ็บป่วย ไม่มีโรคประจำตัว จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพ ยิ่งไปกว่านั้นคือ มีผู้สูงอายุจำนวนมากไม่ยอมตรวจสุขภาพ เพราะกลัวว่าจะเจอโรคแล้วทำให้ไม่สบายใจ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมารับรู้ความเจ็บป่วยของตนเอง

ดังนั้น จึงควรมีการเตรียมตัวและเกลี้ยกล่อมผู้สูงอายุให้ไปตรวจสุขภาพ เพราะเมื่ออายุมากขึ้น สภาพร่างกายของแต่ละคนก็ย่อมทรุดโทรมเสื่อมถอยไปตามกาลเวลา ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ การตรวจสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ เพราะจะช่วยคัดกรอง และประเมินความเสี่ยงต่อโรคภัยทั้งหลาย นอกจากนี้การตรวจสุขภาพยังมีส่วนช่วยให้สามารถตรวจพบปัญหาสุขภาพ และสามารถเข้ารับการรักษาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วย ก่อนที่โรคเหล่านั้นจะลุกลาม หรือมีอาการรุนแรงจนสายเกินแก้

วิธีการเตรียมตัวก่อนตรวจสุขภาพของผู้สูงอายุ

สำหรับการเตรียมตัวโดยทั่วไปก่อนวันที่จะตรวจควรงดอาหาร และน้ำตั้งแต่หลังเที่ยงคืน หรือเป็นเวลา 8-10 ชั่วโมง โดยนอนหลับพักผ่อนมาให้เพียงพอ และนัดหมายกับสถานพยาบาลล่วงหน้า หากไม่สามารถมารับการตรวจได้ควรโทรมาแจ้ง หรือเลื่อนนัดทางสถานพยาบาล ทั้งนี้ หากมียาที่รับประทานอยู่เป็นประจำ หรือมีโรคประจำตัวต่าง ๆ ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบ

วิธีเกลี้ยกล่อมให้ผู้สูงอายุไปตรวจสุขภาพ

ผู้สูงอายุมักวิตกกังวล หรือกลัวโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ บางคนคิดว่า ถ้าไปตรวจจะทำให้รู้ว่าเป็นโรคอะไร จึงกลัวการตรวจสุขภาพ และไม่อยากไปตรวจ ดังนั้น การจะโน้มน้าวหรือเกลี้ยกล่อมให้ไปตรวจนั้น จึงต้องอธิบายให้ผู้สูงอายุทราบถึงความสำคัญของการตรวจสุขภาพ โดยอาจโน้มน้าวว่า

  1. การเสื่อมสภาพของร่างกายนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากดูแลดี ๆ และไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ ก็จะช่วยรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และรู้ทันโรคภัยต่าง ๆ ได้
  2. การตรวจสุขภาพแล้วพบความผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกาย ยังจะทำให้ตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่ในระยะแรก ๆ ส่งผลให้รักษาได้ง่าย และรวดเร็ว ไม่ต้องใช้เวลานาน ไม่เสียค่าใช้จ่ายมาก
  3. ควรอธิบายถึงขั้นตอนในการตรวจให้ผู้สูงอายุสบายใจว่า ไม่ได้ทำให้เจ็บ และไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิดด้วย ทำให้ง่ายต่อการโน้มน้าวให้ผู้สูงอายุไปตรวจสุขภาพ 

ขอแนะนำให้ผู้สูงอายุทุกคนควรเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ นอกจากการตรวจร่างกายมาตรฐานแล้ว ยังสามารถทำการตรวจคัดกรองภาวะโรคทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับอายุได้ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ภาวะสมองเสื่อม และโรคอื่น ๆ ได้ ซึ่งการคัดกรองเหล่านี้สามารถช่วยตรวจคัดกรองโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำให้สามารถป้องกันโรคแทรกซ้อนได้ทันท่วงที เพราะ ผู้สูงอายุต้องดูแลทั้งสุขภาพกายและใจ 


ตรวจสุขภาพผู้สูงอายุ ในเบื้องต้นควรตรวจอะไรบ้าง

ตรวจสุขภาพผู้สูงอายุ ในเบื้องต้นควรตรวจอะไรบ้าง 

ดยหลักการแล้วผู้สูงอายุควรตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะทำให้ผู้สูงอายุได้รับการประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพด้านต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ การตรวจสุขภาพผู้สูงอายุ ในเบื้องต้นจะมีรายการตรวจต่าง ๆ เช่น ความเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกาย การทรงตัว หู ตา ช่องปาก การขับถ่าย การออกกำลังกาย การทำกิจวัตรประจำวันพื้นฐาน การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ตรวจความแข็งแรงของมวลกระดูก ตรวจระดับไขมัน ตรวจภาวะสมองเสื่อม ไปจนถึงการตรวจภายในคัดกรองมะเร็ง

ซึ่งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แนะนำรายการตรวจสุขภาพผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มีรายละเอียด ดังนี้

1. ตรวจร่างกายทั่วไป ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง BMI และวัดความดันโลหิต อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

2. ตรวจสายตา อายุ 60 – 64 ปี ตรวจทุก 2 – 4 ปี อายุ 65 ปีขึ้นไป ตรวจทุก 1 – 2 ปี เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการมองไม่เห็น

3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเป็น

  • ตรวจปัสสาวะ ควรตรวจทุกปี เพื่อคัดกรองความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ
  • ตรวจหาภาวะซีด ควรตรวจทุกปี เมื่ออายุ 70 ปีขึ้นไป
  • ตรวจหาไขมันในเลือด ควรตรวจทุก 5 ปี
  • ตรวจหาเบาหวาน ควรตรวจทุกปี
  • ตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของไต ควรตรวจทุกปี เพื่อตรวจคัดกรองความผิดปกติของไต

4. ตรวจคัดกรองมะเร็ง

  • มะเร็งปากมดลูก ตรวจทุก 3 ปีจนถึงอายุ 65 ปี
  • มะเร็งเต้านม ตรวจทุกปีจนถึงอายุ 69 ปี
  • มะเร็งลำไส้ใหญ่ ตรวจอุจจาระทุกปี

5. ประเมินสภาวะสุขภาพในผู้สูงอายุ

  • ภาวะโภชนาการ เพื่อลดภาวะทุพโภชนาการ และได้รับสารอาหารอย่างเหมาะสม
  • ความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการป้องกันการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต
  • ความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน เพื่อป้องกันการเกิดกระดูกหัก
  • ภาวะสมองเสื่อม เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่เหมาะสมในการดำรงชีวิต
  • ภาวะซึมเศร้า เพื่อคัดกรองภาวะซึมเศร้า และได้รับการวินิจฉัยช่วยเหลือที่ถูกต้องและเหมาะสม

ข้อดีของการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้อุ่นใจ และคลายความกังวล อย่างไรก็ตาม การตรวจสุขภาพที่มีประโยชน์จะต้องเป็นการตรวจที่มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกัน ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยหาต้นตอของโรคหรือความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะแรกแล้ว ยังทำให้ง่ายที่จะรักษาให้หายขาดได้หรือบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ สามารถรับมือกับโรคเรื้อรังและควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ช่วยคัดกรองความเสี่ยงของโรคที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต นี่เป็น 10 โรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ

สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคสูงเป็นทุนเดิม เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพและไม่ไปเร่งการพัฒนาโรคให้เกิดขึ้น เพราะการตรวจสุขภาพเป็นการตรวจสำหรับผู้ที่ยังไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ เพื่อค้นหาความเสี่ยงของโรคที่ยังไม่แสดงอาการ ซึ่งการพบปัญหาแต่เนิ่น ๆ ไม่เพียงลดภาวะแทรกซ้อนของโรคเท่านั้น แต่ยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย และที่สำคัญคือไม่ว่าผลการตรวจสุขภาพจะออกมาอย่างไร ก็ห้ามละเลยการดูแลสุขภาพเด็ดขาด


อ้างอิง

การบำรุงรักษาสุขภาพผู้สูงอายุ นอกจากการออกกำลังกายที่เหมาะสมแล้ว การรับประทาน อาหาร ผู้สูงอายุ ที่มีความสมดุลและเหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง เพื่อให้ได้สารอาหารที่เพียงพอ และครบถ้วนตามความต้องการของร่างกาย


ความสำคัญของอาหารสำหรับผู้สูงอายุ

ความสำคัญของอาหารสำหรับผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุมีความต้องการปริมาณอาหารลดลงจากวัยหนุ่มสาว แต่จำเป็นต้องได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และสร้างความต้านทานโรค ผู้สูงอายุนั้นต้องการพลังงานน้อยลง เพราะการทำงานของร่างกายมีน้อยลง โดยพลังงานที่ผู้สูงอายุได้รับจากอาหารควรได้รับไม่ควรน้อยกว่า 1200 กิโลแคลอรี/วัน โดยมีรายละเอียดคือ

  • ชาย อายุ 60 – 69 ปี ต้องการพลังงานเฉลี่ยประมาณ 2200 กิโลแคลอรี/วัน
  • หญิง อายุ 60 – 69 ปี ต้องการพลังงานเฉลี่ยประมาณ 1850 กิโลแคลอรี/วัน
  • เมื่ออายุ 70 ปีขึ้นไป ต้องการพลังงานโดยเฉลี่ยลดลง 10 – 12 % ของกลุ่มอายุ 60 – 69 ปี

อาหาร มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของแต่ละคน ผู้ที่มีภาวะทางโภชนาการดีมีสุขภาพแข็งแรง มีการดำเนินชีวิตที่ดี ไม่เครียดจนเกินไป การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ภายในร่างกายจะเป็นไปอย่างช้า ๆ ทำให้ไม่ค่อยแก่ ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีภาวะโภชนาการไม่ดี เจ็บป่วย ดื่มสุรา มีน้ำหนักมากหรือน้อยเกินไป ร่างกายจะเสื่อมโทรมเร็วทำให้แก่เร็ว

ดังนั้น การแก้ปัญหาเรื่องอาหารการกินหรือโภชนาการในผู้สูงอายุ มีข้อคิดอยู่ว่า ขอให้รับประทานอาหารให้ครบหมู่ และควบคุมปริมาณ โดยดูจากการควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากขึ้น และในกรณีน้ำหนักเกินอยู่แล้ว ควรจะลดน้ำหนักให้ลงมาตามที่ควรเป็นด้วย เพราะโครงสร้างของท่านเสื่อมตามวัย ถ้ายังต้องแบกน้ำหนักมาก ๆ จะเป็นปัญหาได้


อาหารสำหรับผู้สูงอายุควรกินอย่างไรจึงเหมาะสม 

โภชนาการและอาหารสำหรับผู้สูงอายุคือสิ่งสำคัญ ผู้สูงอายุควรได้รับสารอาหารที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายเช่นเดียวกับบุคคลวัยอื่น ๆ ผู้สูงอายุที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงอยู่แล้ว ควรได้รับสารอาหารครบถ้วนอย่างพอดี โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 

1. นม

นมเป็นอาหารให้สารอาหารโปรตีน และเเคลเซียมสูง แคลเซียมสามารถกันโรคที่พบมากในผู้สูงอายุคือ โรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะในเพศหญิง โรคนี้เป็นเหมือนภัยเงียบ แรก ๆ ไม่มีอาการที่ชัดเจน อาจรู้สึกเพียงแค่ปวดเมื่อย จนเมื่อกระดูกพรุนหรือบางมากก็จะเริ่มปวดกระดูก โดยเฉพาะที่หลังและสะโพก สาเหตุหลักเกิดจากการดูดซึมของแคลเซียมในผู้สูงอายุลดลง และได้รับแคลเซียมจากอาหารน้อย แหล่งของแคลเซียมซึ่งพบมากใน นม ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง ผักใบเขียวเข้ม เป็นต้น ซึ่งปริมาณแคลเซียมที่มีอยู่ในอาหารจะมีปริมาณต่างกัน

โดยผู้สูงอายุควรดื่มนมวันละ 1 แก้ว โดยควรดื่มนมพร่องมันเนย หรือ นมขาดมันเนยเพราะจะมีไขมันน้อย และมีแคลเซียมสูง แต่ถ้าอยากดื่มนมโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวก็จะมีความหวานมากขึ้น เพิ่มแคลอรี่มากขึ้น  ผู้สูงอายุบางท่านที่ดื่มนมไม่ได้ ดื่มแล้วท้องเสีย ควรดื่มนมถั่วเหลือง แคลเซียมชนิดที่เป็นยาเม็ดก็สามารถเลือกกินได้ ดังนั้น ควรเลือกกินแต่พอดี การกินมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการจะไม่มีประโยชน์ต่อกระดูก แต่กลับจะทำให้ท้องผูกได้

2. อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต หรือแป้งและน้ำตาล

อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต หรือแป้ง เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว เผือก และมันสำปะหลัง กลุ่มนี้เป็นสารอาหารหลัก และให้พลังงานแก่ร่างกายมากกว่าสารอาหารจากกลุ่มอื่น ผู้สูงอายุจึงควรรับประทานอาหารกลุ่มนี้แต่พออิ่ม เนื่องจากความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อลดลง เพราะส่วนที่เกินจะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามที่ต่าง ๆ อันจะเป็นผลเสียต่อระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม มีผลต่อข้อเข่า ทำให้เสื่อมเร็วขึ้นและปวดเข่าเวลาเดินในภายหลัง

ดังนั้น ควรรับประทานแป้งและน้ำตาลให้ลดน้อยลง ไม่มากจนเกินไป ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะ เช่น ข้าว 1 จาน มื้อละ 2 ทัพพี ควรเลือกเป็นข้าวไม่ขัดสี และไม่ควรรับประทานน้ำตาลในปริมาณที่มาก หลีกเลี่ยงอาหารรสหวานจัดและของหวานทุกชนิด หากรับประทานมากเกินไปจะสะสมเป็นไขมัน  หากผู้สูงอายุต้องการรับประทานข้าวกล้องก็ควรหุงให้นิ่ม ข้าวกล้องนอกจากจะให้พลังงานแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้อีกด้วย

อาหาร ผู้สูงอายุ ประเภทคาร์โบไฮเดรต

3. อาหารประเภทโปรตีน หรือเนื้อสัตว์ งาและถั่วชนิดต่าง ๆ

อาหารประเภทโปรตีน หรือเนื้อสัตว์ งาและถั่วชนิดต่าง ๆ อาหารกลุ่มนี้จำเป็นในการซ่อมแซม และสร้างเนื้อเยื่อที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต เนื้อสัตว์ที่ผู้สูงอายุควรรับประทานคือ เนื้อสัตว์ที่ไม่มีหนังหรือไขมันมากเกินไป โดยเฉพาะเนื้อปลาและถั่วชนิดต่าง ๆ เนื้อสัตว์ควรรับประทานประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ  กินไข่วันละ 1 ฟอง หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ฟอง (ถ้าไขมันในเลือดสูงกินเฉพาะไข่ขาว)

เลือกเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา ย่อยง่าย ควรดัดแปลงให้นุ่ม ชิ้นเล็ก ๆ เนื้อปลาเป็นอาหารโปรตีนที่ผู้สูงอายุควรเลือกรับประทาน เนื่องจากเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ไขมันต่ำ ควรเลาะก้างออกให้หมด เนื้อปลายังมีกรดไขมันชนิดโอเมก้า 3 ที่สามารถป้องกันหลอดเลือดแข็งและโรคหัวใจได้ รวมทั้งยังมีแร่ธาตุที่ผู้สูงอายุต้องการอีกด้วย ส่วนพืชจำพวกถั่วชนิดต่าง ๆ เป็นอาหารประเภทโปรตีน ช่วยซ่อมแซม และสร้างเนื้อเยื่อที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตอยู่

ซึ่งผู้สูงอายุแม้จะไม่เจริญเติบโตอีก แต่ร่างกายก็ต้องมีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ เพื่อทดแทนของเดิมที่สูญสลายไปตลอดเวลา ผู้สูงอายุจึงต้องการสารอาหารในกลุ่มโปรตีนมากกว่าในวัยหนุ่มสาวเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว ถั่วชนิดต่าง ๆ เช่น ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ถั่วเขียว เป็นแหล่งอาหารโปรตีนราคาไม่แพงที่ให้คุณค่าไม่แพ้เนื้อสัตว์ ทั้งยังมีกากเส้นใยทำให้ลำไส้บีบตัวดี ป้องกันเรื่องท้องผูกได้

4. อาหารประเภทไขมัน

ไขมันนอกจากจะให้พลังงานและช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ, ดี, อี และ เค แล้ว ยังทำให้อาหารมีรสชาติมากขึ้น  แต่ถ้ารับประทานไขมันมากเกินจะทำให้ระดับไขมันในเลือดสูง นำมาซึ่งโรคอ้วน โรคหัวใจ และหลอดเลือดแดงตีบแข็งได้ จึงจำกัดปริมาณไขมันควรบริโภค 3-5 ส่วนต่อวัน โดยถั่วเปลือกแข็งหรือเมล็ดพืช มีใยอาหาร โปรตีนสูงขณะเดียวกันมีไขมันสูงด้วย ควรระวังในการบริโภค และเนยเทียมชนิดนิ่มมีปริมาณไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าชนิดแข็งหรือชนิดแท่ง ควรเลือกใช้น้ำมันชนิดไม่อิ่มตัวดีกว่าชนิดอิ่มตัว ควรใช้น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน หรือน้ำมันข้าวโพด ในการปรุงอาหาร เพราะเป็นน้ำมันพืชที่มีกรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย สามารถควบคุมระดับไขมันในเลือด เท่ากับเป็นการช่วยลดภาวะหลอดเลือดแข็ง และโรคหัวใจขาดเลือด

ไขมันและน้ำมันทุกชนิดให้พลังงานสูงเท่ากัน  ควรจำกัดการบริโภคปริมาณน้อยหากกินมากจะทำให้อ้วน และไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ หลีกเลี่ยงน้ำมันพืชที่ใช้ประกอบอาหารกะทิซึ่งเป็นน้ำมันจากมะพร้าว หลีกเลี่ยงไขมันจากสัตว์ เช่น หนังไก่ หนังหมู ไข่แดง อาหารกลุ่มนี้จะให้ไขมันสูงมาก ซึ่งถ้ารับประทานมากเกินไปจะเป็นผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก ทำให้หลอดเลือดแข็ง และเลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงอวัยวะที่สำคัญลดลง เช่น สมอง และหัวใจ

5. อาหารประเภทผักและผลไม้ต่าง ๆ

อาหารประเภทผักต่าง ๆ ได้แก่ ผักใบเขียว เช่น ผักบุ้ง ผักกาดขาว ผักคะน้าผักกวางตุ้ง ฯลฯ ผักประเภทผล เช่น แตงกวา มะระ ฟักทอง แครอท ฯลฯ เป็นอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารประเภทวิตามิน และเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย และมีใยอาหารช่วยให้ระบบขับถ่ายขับถ่ายเป็นปกติ

ในแต่ละวันผู้สูงอายุควรรับประทานผักให้ได้มื้อละ 2 ทัพพี ทั้งสุกและดิบ ผักต่าง ๆ ผู้สูงอายุสามารถกินได้ไม่จำกัดแต่ควรกินหลาย ๆ ชนิดสลับกัน ควรกินผักนึ่งหรือต้มสุกไม่ควรกินผักดิบบ่อย ๆ เพราะย่อยยาก ทำให้ท้องอืดได้

ส่วนอาหารประเภทผลไม้ ให้วิตามิน เกลือแร่ ใยอาหาร ผู้สูงอายุควรเลือกรับประทานผลไม้ที่เนื้อนุ่มเคี้ยวง่าย ได้แก่ มะละกอ กล้วยสุก ส้ม เป็นต้น และควรรับประทานผลไม้อย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง ครั้งละ 6-8 ชิ้น/คำ สำหรับผู้สูงอายุที่อ้วน หรือเป็นเบาหวานให้หลีกเลี่ยงผลไม้หวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย ขนุน น้อยหน่า เป็นต้น เพราะถ้าหาก ติดหวานอาจเสี่ยงโรค ได้โดยไม่รู้ตัว

อาหาร ผู้สูงอายุ ประเภทผักและผลไม้ต่าง ๆ

6. ใยอาหาร

คนสูงอายุควรรับประทานอาหารที่เป็นพวกใยอาหารมากขึ้น เพื่อช่วยป้องกันการท้องผูก เชื่อกันว่าช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด และลดอุบัติการของการเกิดมะเร็งของลำไส้ใหญ่ลงได้ ใยอาหารไม่ได้เป็นสารอาหาร และไม่ได้ให้พลังงาน แต่ร่างกายควรได้รับทุกวัน เพราะช่วยในการขับถ่าย ซึ่งพบว่าผู้สูงอายุมักมีปัญหาท้องผูกอยู่เสมอ

ใยอาหารช่วยเพิ่มปริมาณ ของอุจจาระ และอุ้มน้ำไว้ ทำให้อุจจาระไม่แข็งตัว และช่วยกระตุ้นให้เกิดการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดการขับถ่ายได้สะดวก ผู้สูงอายุจึงควรได้รับใยอาหารให้เพียงพอด้วย โดยใยอาหารได้มาจากข้าวซ้อมมือ ถั่วต่าง ๆ ผัก และผลไม้

7. น้ำดื่ม

คนสูงอายุควรรับประทานน้ำประมาณ 1 ลิตร ตลอดทั้งวัน แต่ทั้งนี้ควรจะปรับเองได้ ตามแต่ความต้องการของร่างกาย โดยให้ดูว่า ปัสสาวะมีสีเหลืองอ่อน ๆ เกือบขาว แสดงว่าน้ำในร่างกายเพียงพอแล้ว น้ำเป็นเครื่องดื่มที่ไม่ให้พลังงาน แต่มีความจำเป็นแก่ร่างกายในการนำพาสารอาหารต่าง ๆ ไปยังอวัยวะภายในร่างกาย และทำให้ผิวพรรณสดใสและเกิดความสดชื่น

น้ำที่ดื่มควรเป็นน้ำสะอาด บริสุทธิ์ ไตของผู้สูงอายุมีประสิทธิภาพน้อยลงในการขับถ่ายของเสีย การดื่มน้ำมาก ๆ ช่วยให้มีน้ำ ผ่านไปที่ไตมากพอที่จะช่วยไตขับถ่ายของเสียได้ง่ายขึ้น ผู้สูงอายุจึงควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว และนี่เป็น  เคล็ดลับดื่มน้ำ ที่เหมาะสำหรับผู้สูงวัย

 

อาหาร ผู้สูงอายุ จึงมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากสามารถมีผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุได้โดยตรง ควรบริโภคอาหารที่หลากหลาย รับประทานอาหารครบทั้ง 5 กลุ่ม โดยควรจะมีความสมดุล และครอบคลุมทุกหมวดหมู่ด้วย


อ้างอิง

การดูแลผู้สูงอายุ เป็นเรื่องสำคัญมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การดูแลผู้สูงอายุไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผู้สูงอายุมีความต้องการและอาจมีปัญหาสุขภาพหลายอย่าง อย่างไรก็ตาม การดูแลผู้สูงอายุมีหลายวิธี โดยสามารถส่งผลให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ หากคุณต้องการดูแลผู้สูงอายุให้ดี ทำได้โดยการให้ความรักและความห่วงใย รวมทั้งการให้การดูแลสุขภาพที่ดี และการจัดการอาหารที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังสามารถให้กิจกรรมสันทนาการและกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้สูงอายุได้อีกด้วย


ภาวะเปราะบางในผู้สูงอายุ บ่งชี้ว่าต้องให้ความสำคัญใน การดูแลผู้สูงอายุ

ภาวะเปราะบางในผู้สูงอายุ บ่งชี้ว่าต้องให้ความสำคัญใน การดูแลผู้สูงอายุ

เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้สูงอายุหลายคนมักรู้สึกเหนื่อยง่ายและเคลื่อนไหวได้ช้าลง ผู้สูงอายุบางคนอาจรู้สึกอ่อนเพลียและทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันลำบากขึ้น อาการเหล่านี้เป็นปัญหาสุขภาพอย่างหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ เราเรียกว่าภาวะแบบนี้ว่า ภาวะเปราะบางในผู้สูงอายุ หรือเฟรลตี้ (Frailty) ซึ่งบุคคลในครอบครัวต้องหมั่นสังเกตว่าญาติผู้ใหญ่ของเราเกิดอาการภาวะเปราะบางในผู้สูงอายุหรือไม่ โดยอาการที่อาจจะเกิด ได้แก่

  • รูปร่างผอมลง น้ำหนักตัวลดลงประมาณ 5 กิโลกรัมหรือมากกว่านั้น
  • เกิดอาการอ่อนเพลีย ยืนเองไม่ค่อยได้หรือไม่มีแรงที่จะถือสิ่งของ
  • รู้สึกเหนื่อยง่ายมาก ทำสิ่งต่าง ๆ ไม่ค่อยได้ ทำเพียงนิดหน่อยก็จะมีอาการเหนื่อย
  • สมรรถภาพในการทำกิจกรรมลดลง อาทิ ออกกำลังกาย ทำงานบ้าน หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่เคยชอบ แต่ทำไม่ได้เหมือนแต่ก่อน
  • เดินช้าลง โดยใช้เวลาเดินในระยะทาง 5 เมตร มากกว่า 6-7 วินาที

โดยหากเกิดอาการ 3 อย่างขึ้นไป อาจหมายถึงว่าผู้สูงอายุประสบภาวะดังกล่าวอยู่ ควรให้ความสำคัญเพื่อจะได้มีสุขภาพดีขึ้น ซึ่งอาการภาวะเปราะบางในผู้สูงอายุ ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ทำให้การแต่งตัว ตื่นนอน ลุกจากเตียง เดินเข้าห้องน้ำ หรือไปเที่ยวได้ลำบาก อีกทั้งอาจหกล้มได้ง่าย

ผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพ ทำให้ภาวะดังกล่าวแย่ลงอย่างรวดเร็ว เช่น มีแนวโน้มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า มีโอกาสติดเชื้อ รวมทั้งฟื้นตัวจากอาการป่วยหรือการได้รับบาดเจ็บต่าง ๆ ได้ยาก ฉะนั้น บุคคลในครอบครัวจึงควรดูแลญาติผู้ใหญ่ของตนให้มีสุขภาพดีและถูกต้องตามหลักการดูแลผู้สูงอายุ ดังนั้น หมั่นพาผู้สูงอายุไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอด้วย แนะนำ วิธีการเตรียมตัวพาผู้สูงอายุไปตรวจสุขภาพ


การดูแลผู้สูงอายุที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และการดูแลผู้สูงอายุติดเตียง 

1. การดูแลผู้สูงอายุยังสามารถช่วยเหลือตัวเองได้

การดูแลผู้สูงอายุที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และการดูแลผู้สูงอายุติดเตียง 

จะเป็นผู้สูงอายุติดบ้าน คือ ผู้สูงอายุที่เคลื่อนไหวได้ ยังสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่จะมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน มีความลำบากหรือติดขัดในการเคลื่อนไหว เนื่องจากสภาพร่างกายที่เสื่อมสมรรถภาพตามอายุ หรือมีปัญหาด้านสุขภาพที่มีโรคประจำตัว การดูแลจะมุ่งเน้นไปในด้านของสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจ และการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ดังนี้

1. การดูแลสุขภาพทางร่างกาย

  • ด้านอาหาร ผู้สูงอายุต้องได้รับอาหารอย่างเหมาะสม หลากหลายครบ 5 หมู่ ได้สัดส่วนเพียงพอ เนื่องจากมีกิจกรรมที่ทำได้ไม่มากส่งผลให้แต่ละวันใช้พลังงานลดน้อยลง และควรลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน ให้เน้นอาหารโปรตีนจากเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะปลา และเพิ่มแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม สังกะสี และเหล็ก เป็นต้น หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหวานจัด เค็มจัด อาหารประเภทผัด ทอด และควรกินอาหารประเภทต้ม นึ่ง ย่าง อบแทน
  • ด้านการออกกำลังกาย โดยการออกกำลังกายที่เหมาะกับผู้สูงอายุ เช่น ยืดเหยียด รำไทเก็ก รำไม้พลอง โยคะ เดินเร็ว ว่ายน้ำ เป็นต้น ทำประมาณ 30 นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง เพื่อกระตุ้นจังหวะการเต้นของหัวใจ การบริหารร่างกายให้ได้ครบทุกส่วนของร่างกาย จะช่วยฝึกกล้ามเนื้อและความยืดหยุ่นของร่างกาย ทำให้การเคลื่อนไหวและการทรงตัวดีขึ้น
  • ด้านสุขอนามัย ผู้สูงอายุควรลด ละ เลิก สิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น เหล้า บุหรี่ รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ผู้ดูแลหมั่นดูแลสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุ พร้อมสังเกตการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะระบบขับถ่าย และพาไปตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หรือตามที่แพทย์นัดหมาย

2. การดูแลสุขภาพจิตใจ การที่ผู้สูงอายุจะต้องอยู่ติดบ้าน จะทำให้เกิดความเครียดและวิตกกังวลได้ง่าย ผู้ดูแลหรือคนในครอบครัวต้องคอยรับฟัง และให้คำปรึกษาให้ผู้สูงอายุได้ระบายความรู้สึกต่าง ๆ และหากิจกรรมทำ เพื่อผ่อนคลายความเครียด เช่น ดูหนัง ฟังเพลง หรือให้ผู้สูงอายุได้พบปะเพื่อนฝูงในวัยเดียวกัน รวมทั้งการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เมื่อมีกิจกรรมที่ผู้สูงอายุสนใจหรืออยากทำ

3. การป้องกันอุบัติเหตุและอันตราย ผู้สูงอายุที่มีความลำบากหรือติดขัดในการเคลื่อนไหว ผู้ดูแลหรือคนในครอบครัวต้องระวังในเรื่องของการผลัด ตก หก ล้ม ควรจัดสิ่งแวดล้อมให้มีสภาพที่ถูกต้องเหมาะสม มีอากาศถ่ายเทสะดวก แสงสว่างพอเหมาะ มีความปลอดภัย พื้นต้องไม่ลื่น มีราวจับเพื่อช่วยในการทรงตัว โดยเฉพาะสถานที่ที่สามารถเกิดอุบัติเหตุได้บ่อย เช่น ห้องน้ำ ห้องนอน ห้องครัว บริเวณบันไดขึ้น-ลง เป็นต้น

2. การดูแลผู้สูงอายุติดเตียง

การดูแลผู้สูงอายุติดเตียง

จะเป็นผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เป็นผู้ป่วยติดเตียง ต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา อาจเป็นเพราะเกิดการเจ็บป่วยจากอุบัติเหตุ การเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรังที่เข้าสู่การลุกลามมากขึ้น จนส่งผลให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ไม่สมบูรณ์ ซึ่งบางคนอาจจะสามารถขยับแขนหรือขาได้บ้าง แต่ยังต้องมีคนช่วยเหลือในการทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่าง เช่น การป้อนอาหาร ช่วยล้างหน้าแปรงฟัน ช่วยอาบน้ำ เป็นต้น ในครอบครัวที่มีผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยติดเตียงอาศัยอยู่ด้วย คนในครอบครัวจะต้องสละเวลาส่วนใหญ่มาคอยดูแลผู้สูงอายุติดเตียงเหล่านี้ เพราะต้องได้รับการดูแลมากกว่าปกติ ทั้งทางด้านร่างกาย และสภาพจิตใจ ข้อมูลเพิ่มเติม ดูแลผู้สูงอายุให้สุขภาพดีทั้งกายใจ

โดยหลักการดูแลนั้น ผู้ดูแลจำเป็นต้องระมัดระวังเรื่องแผลกดทับโดยการหมั่นพลิกตัว เปลี่ยนท่านอนของผู้สูงอายุทุก ๆ 2 ชั่วโมง การขับถ่าย ควรหมั่นดูแลเรื่องความสะอาดและความเปียกชื้น การดูแลความสะอาดสิ่งแวดล้อมโดยรอบที่ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อของแผล ด้านอาหารควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ลดภาวะท้องอืดและท้องผูก และมีสารอาหารที่ผู้สูงอายุต้องได้รับอย่างครบถ้วน การทำกายภาพบำบัดของผู้สูงอายุที่ต้องนอนติดเตียงให้ถูกต้องเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อต่อต่าง ๆ ติดขัด

รวมไปถึงการดูแลด้านอารมณ์และด้านจิตใจ เพราะผู้สูงอายุที่ติดเตียงมักจะมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย มีความวิตกกังวล กลัวถูกทอดทิ้ง คิดมากเรื่องในอดีต กังวลเรื่องสุขภาพร่างกายที่ถดถอยลงไม่เหมือนเดิม รวมถึงโรคที่เป็นอยู่ จึงต้องการการดูแล และเอาใจใส่จากคนในครอบครัวเป็นพิเศษ เช่น การเข้าไปพูดคุย นำเรื่องไปเล่าให้ฟัง ไปขอคำแนะนำปรึกษาในเรื่องการดูแลบุตรหลาน เป็นการช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า การหากิจกรรมทำร่วมกันทั้งครอบครัว เป็นต้น


อ้างอิง