Category

ความรู้เกี่ยวกับผู้สูงอายุ

Category

เมื่อเราอายุมากขึ้น การรักษาสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีจะมีความสำคัญมากขึ้น การออกกำลังกายด้วยโยคะและการฝึกสติเป็นสองแนวทางปฏิบัติที่แสดงให้เห็นว่ามีผลดีต่อสุขภาพกายและใจ ลดความเครียด และช่วยในเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ บทความนี้จะพามาสำรวจว่าแนวทางปฏิบัติ โดยการฝึก โยคะผู้สูงวัย สามารถช่วยชะลอวัย และเสริมความแข็งแรงให้ร่างกายได้อย่างไร


ประโยชน์ของโยคะสำหรับผู้สูงอายุ

ประโยชน์ของโยคะสำหรับผู้สูงอายุ

การปรับปรุงสุขภาพกาย

โยคะเป็นรูปแบบการออกกำลังกายเบา ๆ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุ โดยเน้นถึงความยืดหยุ่น ความแข็งแกร่ง และความสมดุล ซึ่งทั้งหมดนี้มีความสำคัญต่อร่างกายที่แก่ชรา การฝึกโยคะเป็นประจำสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ เพิ่มการเคลื่อนไหว และลดความเสี่ยงของการล้ม ซึ่งเป็นปัญหาทั่วไปสำหรับผู้สูงอายุ การฝึกโยคะด้วยการยืดเส้นยืดสาย และเสริมความแข็งแรงอย่างอ่อนโยน ทั้งยังช่วยในการจัดการอาการเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคข้ออักเสบและโรคกระดูกพรุน ทำให้เป็นการออกกำลังกายในอุดมคติสำหรับผู้สูงอายุ

เสริมสร้างความเป็นอยู่ทางอารมณ์

โยคะไม่เพียงแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบอย่างมากต่อความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์อีกด้วย การฝึกนี้ส่งเสริมการมีสติและความตระหนักรู้ในขณะปัจจุบัน ซึ่งอาจนำไปสู่ความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าที่ลดลง สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของความชรา การสูญเสีย หรือความโดดเดี่ยว โยคะสามารถช่วยทำให้เกิดความรู้สึกสงบ ความพึงพอใจ และการเชื่อมโยงกับตนเองและสิ่งรอบตัว


การฝึกเจริญสติเข้ากับการใช้ชีวิตประจำวัน

การฝึกเจริญสติเข้ากับการใช้ชีวิตประจำวัน

เทคนิคลดความเครียด

การฝึกเจริญสติ เช่น การทำสมาธิและการหายใจ เป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการลดความเครียด แนวทางปฏิบัติเหล่านี้ส่งเสริมให้ผู้อาวุโสมุ่งความสนใจไปที่ปัจจุบัน ลดการกังวลเกี่ยวกับอนาคตหรือเสียใจกับอดีต การฝึกสติอย่างสม่ำเสมอยังสามารถลดความดันโลหิต ลดอาการปวดเรื้อรัง และปรับปรุงการนอนหลับ ซึ่งช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุได้อย่างมาก

การสนับสนุนทางอารมณ์

การเล่นโยคะทำให้เกิดสติ ทั้งยังสามารถให้การสนับสนุนทางอารมณ์ ช่วยให้ผู้สูงวัยเอาชนะความท้าทายของการเปลี่ยนแปลง ช่วยลดความรู้สึกเหงา เพิ่มความรู้สึกเชื่อมโยงกับผู้อื่นได้ด้วยการส่งเสริมความรู้สึกสงบ และเข้าใจยอมรับจากภายใน ผู้สูงอายุจะได้เรียนรู้ที่จะชื่นชมช่วงเวลาเล็ก ๆ ค้นพบความสุข ความพึงพอใจในชีวิตประจำวันผ่านการมีสติ และเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์


ความสำคัญของการมีส่วนร่วม

ความสำคัญของการมีส่วนร่วม

สำหรับผู้สูงอายุที่สนใจเริ่มเล่นโยคะหรือฝึกสติ การเข้าร่วมกลุ่ม โยคะผู้สูงวัย จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง กลุ่มเหล่านี้เป็นชุมชนที่สนับสนุนเพื่อนฝูงที่อยู่บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงของวัยเช่นกัน การเข้าร่วมกลุ่มยังช่วยสร้างแรงจูงใจ การให้กำลังใจ และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งจำเป็นต่อการดูแลผู้สูงอายุให้สุขภาพดีทั้งกายใจ

โดยเฉพาะกลุ่มผู้อาวุโสหลายคนพบว่า การเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโยคะหรือการฝึกสติ ช่วยเพิ่มการฝึกฝนและเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา ตัวอย่างเช่น กลุ่มผู้อาวุโสที่ศูนย์ชุมชนท้องถิ่นรายงานว่ารู้สึกถึงการมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น ไม่เพียงแต่แบ่งปันการฝึกฝนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประสบการณ์ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย ความรู้สึกของการมีส่วนร่วมและการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม สามารถเยียวยา และให้การสนับสนุนได้อย่างเหลือเชื่อ

การผสมผสานโยคะและการฝึกเจริญสติในผู้สูงอายุสามารถปรับปรุงสุขภาพกาย ลดความเครียด และปรับปรุงความเป็นอยู่ทางอารมณ์ได้อย่างมาก การปฏิบัติเหล่านี้นำเสนอวิธีที่อ่อนโยน แต่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้สูงอายุในการรักษาสุขภาพของตนเอง ค้นหาความสงบสุข และเชื่อมความสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งสามารถช่วยให้ก้าวผ่านช่วงวัยนี้ไปได้ พร้อมเปิดรับความงดงาม และความท้าทายในช่วงชีวิตนี้ด้วยความเข้มแข็งและความสงบ

โยคะผู้สูงวัย

การเล่นโยคะและการฝึกสติเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่สามารถช่วยให้ผู้สูงอายุเอาชนะความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงในชีวิตด้วยความคิดบวก โยคะให้ประโยชน์ทางกายภาพ เช่น ความคล่องตัว ความแข็งแกร่ง และความสมดุลที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็บรรเทาอาการของภาวะเรื้อรัง ในทางกลับกัน การฝึกเจริญสติยังช่วยลดความเครียด เพิ่มความอยู่ดีมีสุขทางอารมณ์ เสริมสร้างความรู้สึกสงบ มีผู้สูงวัยหลายคนที่ได้บูรณาการแนวทางปฏิบัติเหล่านี้ เข้ากับชีวิตของพวกเขา และเกิดผลกระทบในการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้

นอกจากนี้ การเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนหรือกลุ่มผู้สูงอายุ ยังช่วยสนับสนุนเพิ่มประโยชน์ของการเล่นโยคะและการฝึกสติ สร้างแรงจูงใจ การให้กำลังใจ และไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกที่โดดเดี่ยว โดยรวมแล้วการปฏิบัติเหล่านี้นำเสนอแนวทางองค์รวมในการสูงวัย โดยเน้นที่การดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจ


คำถามที่พบบ่อย

1. โยคะปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพหรือไม่?

ใช่ โยคะสามารถปรับให้เหมาะกับบุคคลที่มีภาวะสุขภาพต่าง ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษากับผู้ให้บริการด้านสุขภาพก่อนที่จะเริ่มแผนการออกกำลังกายใหม่ ๆ และฝึกฝนร่วมกับครูสอนโยคะที่สามารถช่วยปรับการฝึกให้ตรงตามความต้องการเฉพาะของคุณได้

2. ผู้สูงอายุควรฝึกสติหรือโยคะบ่อยแค่ไหน?

ความถี่อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความชอบและความสามารถของแต่ละบุคคล แต่การเริ่มต้นด้วยการฝึกมีสติไม่กี่นาทีทุกวัน และเล่นโยคะ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ถือเป็นพื้นฐานที่ดี การฟังร่างกายและปรับตัวตามเป็นสิ่งสำคัญ

3. โยคะและการฝึกสติสามารถทดแทนการรักษาพยาบาลแบบปัจจุบันได้หรือไม่?

แม้ว่าโยคะและการเจริญสติจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก แต่ก็ไม่ควรแทนที่การรักษาทางการแพทย์แบบปัจจุบัน แต่ควรใช้เป็นแนวทางปฏิบัติเสริมควบคู่กับคำแนะนำทางการแพทย์แทน

4. มีแหล่งข้อมูลสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการเริ่มฝึกโยคะหรือการฝึกสติหรือไม่?

ศูนย์ชุมชน สถานที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ และแพลตฟอร์มออนไลน์หลายแห่งมีชั้นเรียนโยคะและการฝึกสติ ซึ่งปรับให้เหมาะกับผู้สูงอายุ แหล่งข้อมูลเหล่านี้มักมีระยะเวลาที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น ทำให้ง่ายสำหรับผู้สูงอายุในการเริ่มต้นในทุกระดับ


อ้างอิง :

ผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้นมักหันไปหาการรักษาแบบธรรมชาติและอาหารเสริม เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา ด้วยความสนใจที่เพิ่มขึ้นในแนวทางการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม มีสมุนไพรมากมายที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพในช่วงที่เริ่มเข้าสู่วัยทอง บทความนี้เจาะลึกถึงคุณประโยชน์และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ สารสกัดจากสมุนไพร การรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ อาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุ และให้คำแนะนำในการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม


ประโยชน์ของสมุนไพรและอาหารเสริม

สารสกัดจากสมุนไพร ประโยชน์ของสมุนไพรและอาหารเสริม

สมุนไพรและอาหารเสริม มีส่วนช่วยในการสนับสนุนการทำงานของร่างกาย ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม สามารถให้การสนับสนุนทางโภชนาการ ในกรณีที่การรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอสำหรับผู้สูงอายุ และเป็นทางเลือกที่อ่อนโยนกว่ายาเคมีทั่วไป

ความเสี่ยงและข้อควรพิจารณา

แม้ว่าสมุนไพรและอาหารเสริมหลายชนิดจะปลอดภัยเมื่อใช้อย่างถูกต้อง แต่ก็สามารถเกิดปฏิกิริยากับยา มีผลข้างเคียง หรือไม่เหมาะสมกับบางคนที่มีสภาวะสุขภาพบางอย่างได้ สิ่งสำคัญคือต้องรับประทานอาหารเสริมด้วยสมุนไพรด้วยความระมัดระวัง และรับทราบถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม

แม้ว่าสมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมนั้นมีให้เลือกมากมาย ควรรู้ว่าต้องมองหาอะไรในสิ่งนั้น เพราะมันส่งผลต่อคุณภาพ และความปลอดภัย ช่วยให้แน่ใจได้ว่าคุณกำลังตัดสินใจเลือกสิ่งนั้นมาช่วยดูแลสุขภาพได้ดีที่สุด คำแนะนำคือมองหาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง เพื่อคุณภาพและประสิทธิภาพ


บทบาทของอาหารเสริมต่อสุขภาพผู้สูงอายุ

บทบาทของอาหารเสริมต่อสุขภาพผู้สูงอายุ

เมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายของเราจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ซึ่งอาจส่งผลต่อความต้องการทางโภชนาการและการดูดซึมสารอาหาร สำหรับวัยผู้ใหญ่ การรักษาสุขภาพให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสามารถมีบทบาทสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพ อาหารเสริมเมื่อใช้อย่างรอบคอบสามารถเติมเต็มช่องว่างทางโภชนาการ สนับสนุนสุขภาพโดยรวม และอาจป้องกันหรือจัดการสภาวะที่เกี่ยวข้องกับอายุได้ด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเลือกด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยง

ความต้องการทางโภชนาการของคนสูงวัย

เมื่ออายุมากขึ้น ความต้องการสารอาหารของร่างกายก็เปลี่ยนไป สารอาหารบางชนิดมีความสำคัญมากขึ้นและร่างกายอาจดูดซึมสารอาหารเหล่านั้นได้น้อยลง อาหารเสริมจึงมีบทบาทสำคัญในการเป็นทางเลือกและช่วยเติมเต็มโภชนาการที่ขาดเหล่านี้ได้

อาหารเสริมยอดนิยมสำหรับผู้สูงอายุ

  • กรดไขมันโอเมก้า 3: จำเป็นสำหรับสุขภาพหัวใจและสมอง
  • แคลเซียมและวิตามินดี: สำคัญต่อสุขภาพกระดูก เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน
  • วิตามินบี: สำคัญต่อการเผาผลาญพลังงาน และการทำงานของการรับรู้
  • สารต้านอนุมูลอิสระ (วิตามินซีและอี ซีลีเนียม): สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้สามารถต่อสู้กับความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น และอาจป้องกันโรคบางชนิดได้
  • โพรไบโอติกส์: มีประโยชน์ต่อสุขภาพลำไส้ ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และการดูดซึมสารอาหาร

การวิจัยและหลักฐาน

สิ่งสำคัญคือต้องเลือกอาหารเสริมที่ได้รับการสนับสนุนจากการวิจัยและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ในส่วนนี้จะกล่าวถึงหลักฐานที่สนับสนุนการใช้สมุนไพรหรือสารสกัดที่ใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยอดนิยม

จัดการอาการปวดข้อด้วยสมุนไพร

จัดการอาการปวดข้อด้วยสมุนไพร

อาการปวดข้อและการอักเสบเป็นปัญหาทั่วไปที่อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ การเยียวยาด้วยสมุนไพรอาจช่วยบรรเทาได้ โดยการลดการอักเสบและสนับสนุนสุขภาพข้อต่อ หากผู้สูงอายุกำลังประสบปัญหาเข่าเสื่อม ข้ออักเสบ ลองใช้สมุนไพรเหล่านี้บรรเทาอาการ

  • ขมิ้น: เคอร์คูมิน เป็นสารประกอบที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่รุนแรง อาหารเสริมที่มีสารสกัดจากขมิ้นสามารถช่วยลดอาการของโรคข้ออักเสบ และอาการปวดข้อได้
  • ขิง: สมุนไพรต้านการอักเสบที่มีศักยภาพอีกชนิดหนึ่ง ขิงสามารถบรรเทาอาการปวดและเพิ่มความคล่องตัวในผู้ที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
  • เปลือกต้นวิลโลว์: มักเรียกกันว่า “แอสไพรินจากธรรมชาติ” มีการใช้เปลือกต้นวิลโลว์มานานหลายศตวรรษ เพื่อบรรเทาอาการปวดและการอักเสบ

เสริมภูมิคุ้มกัน

เสริมภูมิคุ้มกัน

ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้สูงอายุ เนื่องจากช่วยป้องกันการติดเชื้อและการเจ็บป่วยต่าง ๆ สมุนไพรบางชนิดสามารถช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ เช่น

  • ดอกเอ็กไคนาเซีย: เป็นที่รู้จักในด้านคุณสมบัติเสริมภูมิคุ้มกัน เอ็กไคนาเซียสามารถช่วยป้องกันโรคหวัดและลดระยะเวลาของอาการหวัดได้
  • เอลเดอร์เบอร์รี่: อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามิน น้ำเชื่อมเอลเดอร์เบอร์รี่ใช้รักษาโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ และเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน
  • แอสทากาลัส: หรือเรียกว่า อึ่งคี้ เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่แพทย์จีนใช้มานาน เชื่อว่าสามารถเสริมระบบภูมิคุ้มกัน โดยการเพิ่มการผลิตเซลล์ภูมิคุ้มกัน ช่วยชะลอวัย และมีสารต้านอนุมูลอิสระ

เสริมสร้างสุขภาพทางเดินอาหาร

เสริมสร้างสุขภาพทางเดินอาหาร

ปัญหาทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด มีแก๊สในท้อง และท้องผูก อาจพบบ่อยมากขึ้นตามอายุ มีสมุนไพรที่สามารถช่วยรักษาสุขภาพทางเดินอาหาร และบรรเทาอาการไม่สบายท้องได้

  • เปปเปอร์มินต์: น้ำมันจากเปปเปอร์มินต์มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) รวมถึงอาการท้องอืดและปวดท้อง
  • ขิง: นอกจากมีฤทธิ์ต้านการอักเสบแล้ว ขิงยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารและบรรเทาอาการคลื่นไส้อีกด้วย
  • คาโมมายล์: ชาคาโมมายล์ที่ขึ้นชื่อเรื่องฤทธิ์สงบสามารถบรรเทาอาการทางเดินอาหาร บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย และลดแก๊สในท้องได้

ความปลอดภัยในการใช้สมุนไพรหรืออาหารเสริม

ความปลอดภัยในการใช้สมุนไพรหรืออาหารเสริม

ปรึกษากับผู้ให้บริการด้านสุขภาพ

ก่อนที่จะเริ่มอาหารเสริมหรือยาสมุนไพรใหม่ ๆ สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษากับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ  หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีปัญหาด้านสุขภาพหรือกำลังใช้ยาอื่น ๆ อยู่

ทำความเข้าใจถึงผลกระทบต่อร่างกาย

ควรศึกษารายละเอียดของอาหารเสริมและสมุนไพรบางชนิดที่อาจมีปฏิกิริยากับยาหรือส่งผลต่อสภาวะสุขภาพ โดยเน้นถึงความสำคัญของตัวเลือกที่มีข้อมูลครบถ้วน แนะนำแนวทาง 10 นิสัยช่วยชะลอวัย

บทความนี้ช่วยให้ข้อมูลที่ครอบคลุมถึงการใช้ สารสกัดจากสมุนไพร และอาหารเสริมสำหรับผู้ใหญ่ โดยเน้นถึงประโยชน์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาเหล่านี้ ความสำคัญของการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและขอคำปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ อาหารเสริมมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนสุขภาพของผู้สูงอายุ โดยช่วยในเรื่องของโภชนาการที่ขาดและสนับสนุนความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของร่างกาย เนื่องจากความสนใจในการดูแลสุขภาพด้วยวิถีธรรมชาติมีมากขึ้น การทำความเข้าใจประเด็นเหล่านี้จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพของตนเองเมื่ออายุมากขึ้น


คำถามที่พบบ่อย

1. อาหารเสริมยอดนิยมสำหรับผู้ใหญ่มีอะไรบ้าง?

กรดไขมันโอเมก้า 3 แคลเซียม วิตามินดี และวิตามินบี เป็นอาหารเสริมที่ได้รับความนิยมและมีประโยชน์มากที่สุดสำหรับผู้สูงอายุ

2. ใช้สมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบันได้หรือไม่?

แม้ว่าสมุนไพรบางอย่างจะสามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันได้ แต่สองอย่างนี้ไม่สามารถแทนที่กันได้ รวมถึงควรปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพื่อขอคำแนะนำก่อนกินสมุนไพรหรืออาหารเสริมใด ๆ เสมอ

3. การกินผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสมุนไพรมีความเสี่ยงหรือไม่?

ใช่ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสมุนไพรบางชนิดสามารถโต้ตอบกับยา มีผลข้างเคียง หรือไม่เหมาะสมสำหรับคนที่มีสภาวะสุขภาพบางประการได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบและระมัดระวัง

4. จะแน่ใจได้อย่างไรว่าอาหารเสริมที่เลือกนั้นปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ?

มองหาอาหารเสริมที่ได้รับการสนับสนุนจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เลือกแบรนด์ที่มีชื่อเสียง และปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเหมาะสมกับความต้องการด้านสุขภาพของคุณ


อ้างอิง :

โภชนาการมีบทบาทสำคัญในสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายของเราจะมีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมาย ทำให้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอาหารให้ตรงกับความต้องการทางโภชนาการ บทความนี้มุ่งเน้นไปที่ ความสำคัญของโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ เคล็ดลับอายุยืน ด้วยการบริโภคอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย รวมถึงวิธีดูแลตัวเอง เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ยืนยาว


ความสำคัญของโภชนาการสำหรับคนสูงวัย

ความสำคัญของโภชนาการสำหรับคนสูงวัย

เมื่ออายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญของเราจะช้าลง และความสามารถของร่างกายในการดูดซึมสารอาหารก็ลดลง สิ่งนี้ทำให้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้สูงอายุที่จะต้องมุ่งเน้นไปที่อาหารที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการสูงโดยไม่มีแคลอรี่มากเกินไป สารอาหารหลัก เช่น แคลเซียม วิตามินดี ไฟเบอร์ และโปรตีน มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการช่วยสนับสนุนสุขภาพกระดูก สุขภาพทางเดินอาหาร และการบำรุงรักษากล้ามเนื้อ

การจัดการภาวะสุขภาพ

ผู้สูงอายุจำนวนมากมีภาวะสุขภาพเรื้อรังที่สามารถจัดการหรือบรรเทาได้ด้วยการรับประทานอาหาร ตัวอย่างเช่น อาหารที่มีโซเดียมต่ำสามารถช่วยจัดการความดันโลหิตได้ ในขณะที่อาหารที่มีเส้นใยสูงสามารถปรับปรุงสุขภาพทางเดินอาหารและป้องกันอาการท้องผูก โภชนาการที่เหมาะสมยังมีบทบาทในการจัดการโรคเบาหวานด้วยการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วย

ยกระดับคุณภาพชีวิต

การรับประทานอาหารที่สมดุลสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุได้อย่างมาก โดยการให้พลังงานที่จำเป็นต่อการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน โภชนาการที่ดีสนับสนุนการทำงานด้านการรับรู้ ช่วยรักษาสุขภาพผิวหนังและเส้นผมให้แข็งแรง และมีส่วนทำให้ร่างกายมีความเป็นอยู่โดยรวมที่ดีขึ้น


เคล็ดลับอายุยืน การบริโภคอาหารที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้สูงอายุ

การรักษาสมดุลอาหารเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้สูงอายุ เนื่องจากส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพ ระดับพลังงาน และคุณภาพชีวิต เคล็ดลับการบริโภคอาหารที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้สูงอายุ เพื่อช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการทางโภชนาการได้อย่างมีประสิทธิภาพมีดังนี้

1. เลือกอาหารที่มีสารอาหารสูง

เลือกอาหารที่มีสารอาหารสูง

เมื่อร่างกายมีอายุมากขึ้น อัตราการเผาผลาญจะช้าลง และความสามารถในการดูดซึมสารอาหารจะลดลง สิ่งสำคัญคือต้องมุ่งเน้นไปที่อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยไม่มีแคลอรี่ส่วนเกินมากเกินไป นี่เป็นอาหารที่ผู้สูงอายุควรจัดลำดับความสำคัญและเลือกรับประทาน

  • ผักและผลไม้: ควรให้ครบครึ่งจานในแต่ละมื้อ ให้วิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ เพื่อช่วยย่อยอาหาร สนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยป้องกันปัญหาท้องผูกได้ดี
  • ธัญพืชไม่ขัดสี: ตัวเลือกต่าง ๆ เช่น ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีต และข้าวกล้องมีเส้นใยและสารอาหารที่จำเป็น โดยไม่ต้องเติมน้ำตาลและไขมันที่พบในธัญพืชแปรรูป
  • โปรตีนไร้ไขมัน: แหล่งที่มา ได้แก่ สัตว์ปีก ปลา ถั่ว และพืชตระกูลถั่ว ซึ่งมีความสำคัญต่อการบำรุงรักษาและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ
  • ผลิตภัณฑ์จากนม: อาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมและวิตามินดี เช่น นมไขมันต่ำ โยเกิร์ต หรืออาหารเสริมทดแทน จะช่วยบำรุงสุขภาพกระดูก
  • ไขมันที่ดีต่อสุขภาพ: อะโวคาโด ถั่ว เมล็ดพืช และน้ำมันมะกอก สามารถช่วยจัดการกับอาการอักเสบ และให้กรดไขมันจำเป็นต่อร่างกาย

2. เน้นไฟเบอร์

เน้นไฟเบอร์

ปริมาณเส้นใยที่เพียงพอจะช่วยส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหารและสามารถป้องกันอาการท้องผูก ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ แหล่งที่มาของเส้นใย ได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดสี ผลไม้ ผัก และพืชตระกูลถั่ว การพิจารณากินยาลดน้ำหนักที่มีไฟเบอร์สูงก็เป็นอีกทางเลือก สำหรับผู้สูงวัยที่มีปัญหาการขับถ่าย รวมถึงดื่มน้ำปริมาณมากร่วมกับอาหารที่มีเส้นใยสูงก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกันที่จะช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. การดื่มน้ำให้เพียงพอ

ในผู้สูงวัยอาจรู้สึกกระหายน้ำ หรือหากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ทำให้มีความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ ผู้สูงอายุจึงควรตั้งเป้าที่จะดื่มน้ำเป็นประจำตลอดทั้งวัน แม้ว่าจะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม น้ำเปล่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่น้ำแหล่งอื่น ๆ เช่น ชาสมุนไพร ผักและผลไม้ที่มีน้ำในปริมาณมากก็มีส่วนช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้เช่นกัน เคล็ดลับการดื่มน้ำของผู้สูงอายุ

4. จำกัดปริมาณอาหาร

จำกัดปริมาณอาหาร

ด้วยร่างกายที่มีการเผาผลาญช้าลง ผู้สูงอายุอาจไม่ต้องการแคลอรี่มากเท่ากับวัยหนุ่มสาว การใส่ใจกับขนาดหรือปริมาณอาหารสามารถช่วยป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่ม และจัดการภาวะเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ หรือการใช้จาน ชาม และถ้วยขนาดเล็กลงจะช่วยควบคุมปริมาณอาหารได้ง่ายมากขึ้น

5. ลดการบริโภคเกลือและน้ำตาล

การลดปริมาณเกลือสามารถช่วยควบคุมความดันโลหิต ในขณะที่การลดปริมาณน้ำตาลที่เพิ่มเข้าไปสามารถลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานและช่วยควบคุมน้ำหนักได้ ผู้สูงอายุควรปรุงรสด้วยสมุนไพรและเครื่องเทศแทนเกลือ และเลือกกินผลไม้แทนของว่างและขนมหวานที่มีน้ำตาล


พิจารณาความต้องการเรื่องอาหารเป็นพิเศษ

พิจารณาความต้องการเรื่องอาหารเป็นพิเศษ

ผู้สูงอายุจำนวนมากมีภาวะสุขภาพที่ต้องปรับเปลี่ยนอาหารเป็นพิเศษ ตัวอย่างเช่น อาหารโซเดียมต่ำสำหรับคนเป็นโรคความดันโลหิตสูง หรืออาหารน้ำตาลต่ำสำหรับโรคเบาหวาน สิ่งสำคัญคือต้องปรับเปลี่ยนการเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะกับปัญหาสุขภาพ บางครั้งอาจได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพหรือนักโภชนาการ

การดูแลในเรื่องของโภชนาการเป็นมากกว่าแค่การยืดอายุขัยสำหรับผู้สูงอายุ แต่ยังเกี่ยวกับการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย การมุ่งเน้นไปที่อาหารที่มีประโยชน์ การจัดการสภาวะสุขภาพด้วยการเลือกรับประทานอาหาร และการดื่มน้ำให้เพียงพอ จะทำให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างมาก จำไว้ว่าไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลงการรับประทานอาหารและดูแลสุขภาพที่ดี การปฏิบัติตามเคล็ดลับที่เป็นประโยชน์เหล่านี้สามารถช่วยให้ผู้สูงอายุรักษาอาหารที่สมดุล จัดการสภาวะสุขภาพ และมีความสุขกับคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้นด้วยโภชนาการที่ดีขึ้น


คำถามที่พบบ่อย

1. สารอาหารที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้สูงอายุคืออะไร?

สารอาหารสำคัญสำหรับผู้สูงอายุ ได้แก่ แคลเซียม วิตามินดี ไฟเบอร์ และโปรตีน สารอาหารเหล่านี้สนับสนุนสุขภาพกระดูก สุขภาพทางเดินอาหาร การบำรุงรักษากล้ามเนื้อ และความเป็นอยู่โดยรวม

2. ผู้สูงอายุจะรักษาความชุ่มชื้นในร่างกายได้อย่างไร?

ผู้สูงอายุสามารถปรับปรุงภาวะขาดน้ำได้ ด้วยการดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน รับประทานอาหารหรือผลไม้ที่มีน้ำสูง และเพิ่มเครื่องดื่ม เช่น ชาสมุนไพร เป็นประจำ

3. ผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยงอาหารอะไรบ้าง?

ผู้สูงอายุควรจำกัดอาหารที่มีโซเดียม น้ำตาล และไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพสูง สิ่งเหล่านี้สามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคหัวใจ

4. การรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียวสามารถช่วยให้ผู้สูงวัยมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้หรือไม่?

แม้ว่าการรับประทานอาหารจะมีบทบาทสำคัญในด้านการดูแลรักษาสุขภาพ แต่จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อรวมกับนิสัยที่ดีต่อสุขภาพอื่น ๆ เช่น การออกกำลังกายเป็นประจำ การนอนหลับที่เพียงพอ การมีส่วนร่วมทางสังคม และการรักษาสุขภาพจิตให้ดีด้วย


อ้างอิง :

เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ยิ่งลดน้ำหนักได้ยากขึ้น ทั้งยังส่งผลเสียต่อสุขภาพ นำมาซึ่งโรคต่าง ๆ หรือปัญหาสุขภาพได้อย่างมากมาย โภชนาการที่ดีจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน โดยเฉพาะในวัยผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นวัยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากความต้องการทางร่างกายและอาหารจะเปลี่ยนแปลงไป ทำให้การมุ่งเน้นไปที่อาหารที่สนับสนุนสุขภาพและการควบคุมน้ำหนักเป็นสิ่งสำคัญ ในบทความนี้จะแนะนำเกี่ยวกับ โภชนาการสำหรับผู้สูงวัย วิธีเลือกอาหารที่อุดมด้วยสารอาหาร ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม และช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้


อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ

อาหารที่มีคุณค่าทาง โภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ

1. ผลไม้และผัก

ผักและผลไม้อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารที่จำเป็น ซึ่งมีความสำคัญสำหรับผู้สูงอายุ ช่วยในการย่อยอาหาร เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากมีปริมาณแคลอรี่ต่ำ ตัวเลือกต่าง ๆ เช่น ผักใบเขียว ผลเบอร์รี่ และผลไม้รสเปรี้ยวมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อร่างกาย ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อาหารประเภทใดที่ผู้สูงอายุควรรับประทาน

2. ธัญพืช

ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง และขนมปังโฮลวีต ให้ไฟเบอร์ที่จำเป็นแก่ผู้สูงอายุ ช่วยในการย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย และรักษาน้ำหนักให้สมดุล นอกจากนี้ ยังให้สารอาหารที่จําเป็น เช่น วิตามินบี ซึ่งมีความสำคัญต่อพลังงานและสุขภาพโดยรวม

3. โปรตีนที่มีไขมันต่ำ

โปรตีนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษามวลกล้ามเนื้อ และควรได้รับปริมาณโปรตีนที่สมดุลกับน้ำหนักตัวต่อวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ โปรตีนไร้มัน เช่น ไก่ ไข่ ปลา ถั่ว และถั่วเลนทิล เป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยม ให้โปรตีนที่จำเป็นโดยไม่มีไขมันส่วนเกิน ย่อยง่าย ช่วยควบคุมน้ำหนักและสุขภาพโดยรวม


อาหารหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพโดยเฉพาะ

อาหารสำหรับปัญหาสุขภาพโดยเฉพาะ

  • อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวาน จำเป็นต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างระมัดระวัง อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น เมล็ดธัญพืชและผลไม้บางชนิดถือเป็นอาหารที่เหมาะสม การทำความเข้าใจ ความเสี่ยงจากโรคเบาหวาน มีความสําคัญสำหรับผู้สูงอายุในการจัดการเลือกรับประทานอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • อาหารที่ช่วยป้องกันโรคทั่วไป

การเลือกอาหารที่สมดุลสามารถช่วยป้องกันโรคทั่วไปในผู้สูงอายุได้ อาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 และวิตามินบางชนิด สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหัวใจ และโรคข้ออักเสบได้ นี่เป็น โรคที่พบบ่อย 10 อันดับแรกในผู้สูงอายุ ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม สามารถส่งผลต่อภาวะการดูแลสุขภาพที่ดีเป็นอย่างยิ่ง


ผู้สูงวัยควรควบคุมน้ำหนักอย่างไร?

การควบคุมน้ำหนักในผู้สูงอายุมีความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพโดยรวม ทั้งความคล่องตัว และคุณภาพชีวิต อย่างไรก็ตาม ควรดำเนินการอย่างระมัดระวัง โดยคำนึงถึงสภาวะสุขภาพ และความต้องการทางโภชนาการที่ร่างกายต้องการด้วย ต่อไปนี้เป็นแนวทางบางประการ สำหรับการควบคุมน้ำหนัก

1. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ

ก่อนที่จะเริ่มโปรแกรมการควบคุมน้ำหนักใด ๆ ผู้สูงอายุควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าแผนการลดน้ำหนักนั้นมีความปลอดภัย และเหมาะสมกับสถานะสุขภาพ

2. การใช้อาหารเสริมอย่างเหมาะสม

การใช้อาหารเสริมอย่างเหมาะสม

  • ภาวะขาดสารอาหาร: เมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายอาจดูดซึมสารอาหารได้ไม่ดีเท่าที่ควร อาหารเสริมสามารถช่วยเติมเต็มความต้องการทางโภชนาการนี้ได้ โดยเฉพาะวิตามินดี บี 12 แคลเซียม และธาตุเหล็ก ซึ่งมักขาดในผู้สูงวัย
  • การทานอาหารเสริมลดน้ำหนัก: ประสิทธิผลของยาลดน้ำหนักอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซึ่งก่อนที่จะเริ่มอาหารเสริมใด ๆ จำเป็นต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อน และสามารถแนะนำอาหารเสริมที่เหมาะสมตามความต้องการด้านสุขภาพของแต่ละบุคคลได้ รวมถึงป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกาย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาสุขภาพหลายประการ
  • คุณภาพและความปลอดภัย: วิธีเลือกกินอาหารเสริม หรือยาลดน้ำหนักตัวไหนดี? ควรเน้นถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก โดยประสิทธิภาพของอาหารเสริมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละแบรนด์ แต่ควรเลือกทานอาหารเสริมคุณภาพสูงจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ดังนั้น ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบ และตรวจสอบจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ

3. การออกกำลังกายเป็นประจำ

  • ออกกำลังกายเบา ๆ: กิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือแอโรบิกเบา ๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุมากหลายคน การออกกำลังกายช่วยเผาผลาญแคลอรีและรักษามวลกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อกระบวนการเผาผลาญ
  • การฝึกความแข็งแรง: การฝึกความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อในระดับเบาถึงปานกลาง ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ สามารถช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อและความหนาแน่นของกระดูกได้

4. คุณภาพการนอนหลับ

การนอนหลับที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม อีกทั้งยังสามารถช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ และสุขภาพร่างกายดีขึ้น

5. ติดตามภาวะสุขภาพ

  • ภาวะด้านสุขภาพพื้นฐาน: ภาวะสุขภาพบางอย่าง เช่น ปัญหาต่อมไทรอยด์ อาจส่งผลต่อน้ำหนักได้ การตรวจสุขภาพเป็นประจำจากแพทย์สามารถช่วยระบุและจัดการปัญหาเหล่านี้ได้นั้งแต่เนิ่น ๆ
  • การใช้ยา: ยาบางชนิดอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสามารถตรวจสอบและปรับเปลี่ยนยาได้หากจำเป็น

6. การดื่มน้ำสำหรับผู้สูงอายุ

การดื่มน้ำสำหรับผู้สูงอายุ

การดื่มน้ำให้เพียงพอ มีความสำคัญต่อการรักษาความชุ่มชื้นของร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่มักถูกมองข้าม แต่น้ำนั้นมีความสำคัญต่อสุขภาพของผู้สูงวัย เพราะช่วยในการย่อยอาหาร การดูดซึมสารอาหาร และส่งเสริมการทำงานของร่างกายโดยรวม จึงควรให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำให้เพียงพอตลอดทั้งวัน ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ผู้สูงอายุควรดื่มน้ำอย่างไร

 

บทความนี้ครอบคลุมถึง โภชนาการสำหรับผู้สูงวัย อาหารที่อุดมด้วยสารอาหารที่จำเป็น ช่วยในเรื่องการดูแลสุขภาพและการควบคุมน้ำหนักสำหรับผู้สูงอายุได้ โดยเฉพาะการเลือกทานผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไร้มันหลากหลายชนิด สามารถปรับปรุงการรับประทานอาหารของผู้สูงวัยได้อย่างมาก นอกจากนี้ การทำความเข้าใจความต้องการเฉพาะ เช่น การจัดการโรคเบาหวานและการป้องกันโรคผ่านการรับประทานอาหารก็เป็นสิ่งสำคัญ การดื่มน้ำให้เพียงพอยังเป็นพื้นฐานที่สําคัญของสุขภาพโดยรวมอีกด้วย โดยมุ่งเน้นไปที่การเลือกโภชนาการที่เหมาะสมกับวัย จะทำให้ผู้สูงอายุสามารถรักษาน้ำหนักให้แข็งแรง และปรับปรุงความเป็นอยู่โดยรวมให้ดีขึ้นได้


คำถามที่พบบ่อย

1. ผักและผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับผู้สูงอายุคืออะไร?

ผักและผลไม้ เช่น ผลเบอร์รี่ ผลไม้รสเปรี้ยว และผักใบเขียว มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุ เนื่องจากมีสารอาหารสูง

2. ผู้สูงวัยจะควบคุมน้ำหนักด้วยการรับประทานอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร?

ผู้สูงอายุสามารถจัดการน้ำหนักได้ด้วยการเน้นรับประทานอาหารที่มีผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไร้ไขมัน ซึ่งล้วนให้สารอาหารที่จำเป็นโดยไม่มีแคลอรีมากเกินไป

3. เหตุใดการดื่มน้ำจึงสำคัญสำหรับผู้สูงอายุ?

การดื่มน้ำที่เพียงพอต่อวันมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการย่อยอาหาร การดูดซึมสารอาหาร ระบบขับถ่าย และการทำงานของร่างกายโดยรวม

4. ผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานควรเน้นทานอาหารอะไรบ้าง?

ผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานควรให้ความสำคัญกับอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น เมล็ดธัญพืชและผลไม้บางชนิด เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมีประสิทธิภาพ


อ้างอิง :

เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อาจทำให้ผู้สูงอายุบางคนมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการการเสื่อมถอยของสภาพร่างกาย ดังนั้น หากคุณกำลังเข้าสู่ช่วงวัยผู้สูงอายุ หรือเป็นคนในครอบครัวที่ต้องดูแลผู้สูงอายุ การดูแลสุขภาพจิตต่างก็ต้องการความเอาใจใส่มากพอ ๆ กับการดูแลสุขภาพกาย บทความนี้จะมาแนะนำ วิธีดูแลส่งเสริมสุขภาพจิต โดยมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับอารมณ์ กลยุทธ์การรับมือ และบทบาทของผู้ดูแลในการให้การสนับสนุนทางอารมณ์ เจาะลึกเรื่องการออกกำลังกาย โภชนาการ และความสำคัญของการมีส่วนร่วมในชุมชน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสนับสนุนสุขภาพจิตใจในผู้สูงอายุ


ปัญหาสุขภาพจิตที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ

ปัญหาสุขภาพจิตที่พบบ่อยในผู้สูงอายุประกอบด้วยสภาวะต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่ออารมณ์ ความสามารถในการรับรู้ และความเป็นอยู่โดยรวม ปัญหาเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากสามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต สุขภาพกาย และความสามารถในการใช้ชีวิตอย่างอิสระ ปัญหาสุขภาพจิตที่พบบ่อยที่สุดในผู้สูงอายุ ได้แก่

1. อาการซึมเศร้า

อาการซึมเศร้า

นี่ไม่ใช่เรื่องปกติของการสูงวัย แต่เป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ร้ายแรงในผู้สูงอายุ อาการนี้มักไม่ได้รับการวินิจฉัยและอาจแสดงออกถึงความโศกเศร้า ความเหนื่อยล้า ไม่สนใจกิจกรรมต่าง ๆ ความอยากอาหารหรือรูปแบบการนอนที่เปลี่ยนไป และความรู้สึกสิ้นหวัง ซึ่งในกลุ่มที่มีภาวะซึมเศร้าแต่ไม่แสดงอาการ เก็บงำความรู้สึกไม่อยากดำเนินชีวิตต่อไป จำเป็นต้องพบแพทย์และการดูแลอย่างเร่งด่วน

2. ความผิดปกติของโรควิตกกังวล

สิ่งเหล่านี้อาจรวมถึงความวิตกกังวลทั่วไป โรคตื่นตระหนก และโรคกลัว ผู้สูงอายุอาจประสบกับความกังวลใจ ความน้อยใจ หรือความกลัวมากเกินไป ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพ ปัญหาทางการเงิน หรือการแยกตัวออกจากสังคม ตั้งแต่ช่วงแรกในช่วงวัยวัยสูงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่อาจเกิดขึ้นได้เองโดยธรรมชาติจากความเครียด

3. ความบกพร่องทางสติปัญญาและภาวะสมองเสื่อม

ความบกพร่องทางสติปัญญาและภาวะสมองเสื่อม

ภาวะต่าง ๆ เช่น โรคอัลไซเมอร์ และภาวะสมองเสื่อมในรูปแบบอื่น ๆ พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของการรับรู้ที่ลดลง เช่น ความจำ การแก้ปัญหา และทักษะทางภาษา

4. ความผิดปกติของการนอนหลับ

ความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ทำให้มีอาการนอนไม่หลับและปัญหาการนอนหลับอื่น ๆ เป็นเรื่องปกติ และอาจเป็นทั้งอาการและสาเหตุของปัญหาสุขภาพจิต

5. ภาวะโศกเศร้าและการสูญเสีย

ภาวะโศกเศร้าและการสูญเสีย

ผู้สูงอายุมักเผชิญกับการสูญเสียครั้งใหญ่ รวมถึงการเสียชีวิตของคู่สมรส เพื่อนฝูง หรือการสูญเสียอิสรภาพ ความโศกเศร้าอาจส่งผลต่อสุขภาพจิต และสามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลได้

สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงปัญหาสุขภาพจิตเหล่านี้และหาวิธีการรักษาที่เหมาะสม การตรวจพบปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะสามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่เผชิญกับปัญหาหรือการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเหล่านี้ได้อย่างมาก


วิธีดูแลส่งเสริมสุขภาพจิต และเข้าใจการเปลี่ยนแปลง

วิธีดูแลส่งเสริมสุขภาพจิต และเข้าใจการเปลี่ยนแปลง

การดูแลสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ และการทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของพวกเขานั้นต้องใช้แนวทางที่มีความเห็นอกเห็นใจและรอบรู้ สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าปัญหาสุขภาพจิตในผู้สูงอายุมักจะแตกต่างจากปัญหาในผู้ที่มีอายุน้อยกว่า ทั้งในด้านอาการและวิธีแสดงออก ต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์บางประการ เพื่อให้การดูแลและทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลง

ทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลง

อาการสูงวัยสามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อสุขภาพจิตใจ สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ และทำความเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลต่อผู้สูงอายุอย่างไร ความท้าทายทางอารมณ์ที่พบบ่อย ได้แก่ ความรู้สึกเหงา กลัวการพึ่งพา และการจัดการกับการสูญเสีย

กลยุทธ์ในการรับมือ

วิธีการรับมือเป็นสิ่งสำคัญ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผู้สูงอายุชอบ ส่งเสริมความสัมพันธ์ทั้งทางสังคมและในครอบครัว รวมถึงการจัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการแสดงอารมณ์สามารถช่วยผู้สูงอายุในการจัดการการเปลี่ยนแปลงอารมณ์เหล่านี้ได้อย่างมาก

บทบาทของการออกกำลังกายและโภชนาการ

  • การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพจิต การออกกำลังกายมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาวะทางใจ การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยปรับปรุงอารมณ์ ลดความวิตกกังวล และปรับปรุงการทำงานของการรับรู้ของสมอง นี่เป็น การออกกำลังกายประเภทใดที่เหมาะกับผู้สูงอายุ โดยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม
  • ความต้องการทางโภชนาการ โภชนาการที่เหมาะสมมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพจิตเช่นกัน อาหารที่สมดุลซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นสามารถปรับปรุงอารมณ์และการทำงานของสมองได้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่หัวข้อ อาหารอะไรที่ผู้สูงอายุควรรับประทาน?

ชุมชนที่ให้การสนับสนุน

ชุมชนที่ให้การสนับสนุน

  • ความสำคัญของชุมชนผู้สูงอายุ ชุมชนผู้สูงอายุเสนอพื้นที่ที่ผู้สูงอายุสามารถมีส่วนร่วมกับเพื่อนฝูง เข้าร่วมกิจกรรม และได้รับการสนับสนุน หากต้องการทำความเข้าใจเพิ่มเติมดูได้ที่ ชุมชนผู้สูงอายุคืออะไร
  • บทบาทของผู้ดูแล ผู้ดูแลมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ โดยสามารถให้การสนับสนุนด้านอารมณ์ ช่วยในการรักษาวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี และสนับสนุนการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชนของผู้สูงอายุได้

การดูแลสุขภาวะทางอารมณ์ในผู้สูงอายุนั้นมีความซับซ้อนและต้องให้ความสำคัญต่อสุขภาพจิตไปพร้อม ๆ กันด้วย การทำความเข้าใจ วิธีดูแลส่งเสริมสุขภาพจิต การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ การออกกำลังกายและโภชนาการ และการสร้างชุมชนที่สนับสนุนถือเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ดูแลมีบทบาทสำคัญอย่างมาก ในการช่วยให้ผู้สูงอายุจัดการกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างมีสุขภาวะ และรับมือได้อย่างเหมาะสม รวมถึงเป็นการเตรียมพร้อมดูแลผู้สูงอายุในบ้านได้อย่างทันท่วงที


คำถามที่พบบ่อย

1. การออกกำลังกายช่วยให้สุขภาพจิตผู้สูงอายุดีขึ้นได้อย่างไร?

การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยเพิ่มอารมณ์ ลดความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้า และปรับปรุงการทำงานของสมอง

2. การรับประทานอาหารประเภทใดที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพจิตใจของผู้สูงอายุ?

อาหารที่สมดุลและอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดี

3. ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่ผู้สูงอายุมักเผชิญมีอะไรบ้าง?

ผู้อาวุโสมักจะเผชิญกับความรู้สึกเหงา กลัวการพึ่งพา และการรับมือกับการสูญเสีย

4. ผู้ดูแลสามารถดูแลสุขภาพจิตผู้สูงอายุได้อย่างไร?

ผู้ดูแลสามารถให้การสนับสนุนด้านอารมณ์ ช่วยเหลือในการดำเนินวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ และสนับสนุนการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน เพื่อไม่ให้ผู้สูงอายุรู้สึกลดทอนความสำคัญของตนเอง


อ้างอิง :

โรคสูงวัยเป็นส่วนหนึ่งตามธรรมชาติของชีวิต แต่ยิ่งอายุมากขึ้นและการเสื่อถอยของร่างกายสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของเราได้ บทความนี้จะพาทุกคนมาสำรวจ 10 นิสัยประจำวัน ที่สามารถช่วยให้ผู้สูงอายุชะลอวัย โดยเน้นที่การมีรักษาสุขภาพที่ยืนยาวและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งนิสัยเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม และง่ายต่อการรวมเข้ากับกิจวัตรประจำวัน จะมีอะไรบ้าง ตามมาดูกัน


10 นิสัยประจำวัน เพื่อชะลอวัยและรักษาสุขภาพที่ยืนยาว

1. การเลือกรับประทานอาหารตามโภชนาการ

10 นิสัยประจำวัน การเลือกรับประทานอาหารตามโภชนาการ

การรับประทานอาหารที่สมดุลเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้สูงอายุ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการได้รับสารอาหารที่เหมาะสมเพื่อรักษาระดับพลังงาน เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และป้องกันการขาดสารอาหาร รวมถึงผลไม้ ผัก โปรตีนไร้ไขมัน ธัญพืชเต็มเมล็ด และไขมันที่ดีต่อสุขภาพหลากหลายชนิดไว้ในอาหารของคุณ โปรดจำไว้ว่าสิ่งที่คุณกินส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของคุณ หากต้องการคำแนะนำโดยละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ผู้สูงอายุควรกินอาหารประเภทใด

2. การออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความยืดหยุ่น และสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด กิจกรรมง่าย ๆ เช่น การเดิน การยืดกล้ามเนื้อ หรือโยคะสามารถให้ประโยชน์ต่อร่างกายได้มากมาย มันไม่ได้เกี่ยวกับการออกกำลังกายที่หนักหน่วง แต่เป็นการหาวิธีที่สนุกสนานและยั่งยืนในการออกกำลังกาย รวมถึงเป็นการออกกำลังที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับผู้สูงอายุด้วย บทความแนะนำ การออกกำลังกายประเภทใดที่เหมาะกับผู้สูงอายุ

3. บทบาทของการดื่มน้ำต่อสุขภาพผู้สูงอายุ

การรักษาความชุ่มชื้น โดยเฉพาะการดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย รวมถึงการย่อยอาหารและการควบคุมอุณหภูมิ ภาวะขาดน้ำอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้ ดังนั้น แนะนำให้ผู้อายุหมั่นจิบน้ำตลอดทั้งวันจึงเป็นเรื่องสำคัญ หากไม่ชอบน้ำเปล่า ลองเติมมะนาว แตงกวาฝาน หรือดื่มชาอ่อน ๆ เพื่อเพิ่มรสชาติ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดื่มน้ำในผู้สูงอายุ ได้ที่บทความดังกล่าว

4. การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

การป้องกันและการตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอปย่างน้อยปีละครั้ง เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและจัดการปัญหาสุขภาพ การตรวจสุขภาพเหล่านี้ช่วยในการตรวจพบปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้เร็ว ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่ารอให้ร่างกายแสดงอาการ ทำให้การตรวจสุขภาพเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุเป็นประจำ

5. การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

การพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกาย โดยเฉพาะการนอนหลับที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพ ช่วยเรื่องความจำ สมาธิ และซ่อมแซมร่างกาย ตั้งเป้าการนอนหลับอย่างมีคุณภาพให้ได้ 7-8 ชั่วโมงในแต่ละคืน สร้างกิจกรรมก่อนนอนที่สงบและให้แน่ใจว่าห้องนอนเอื้อต่อการพักผ่อน

6. ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

การอยู่ร่วมกันทางสังคมช่วยป้องกันภาวะโดดเดี่ยวและความซึมเศร้าได้ หากคุณต้องดูแลผู้สูงอายุแนะนำให้พาไปร่วมในกิจกรรมของชุมชน สมัครเป็นสมาชิกชมรม หรือหากคุณต้องการดูแลตัวเองการติดต่อกับครอบครัวและเพื่อนฝูง ออกไปพบปะผู้คนข้างนอกบ้าง ก็จะทำให้สุขภาพจิตใจดีขึ้น ส่งเสริมการให้กำลังใจและการมีส่วมร่วมกับผู้คนในสังคมได้

7. กระตุ้นสมอง

รักษาจิตใจให้เฉียบแหลม และมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ท้าทายสมอง เช่น ปริศนาคำทาย การอ่าน หรือการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ สามารถช่วยรักษาการทำงานของสมองและป้องกันความเสื่อมถอยได้

8. การจัดการความเครียด

ค้นหาความสงบ ความสมดุล และจัดการกับความเครียดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดูแลสุขภาพจิตและร่างกาย เทคนิคต่าง ๆ เช่น การทำสมาธิ การหายใจลึก ๆ หรืองานอดิเรกสามารถช่วยลดระดับความเครียดได้ ค้นหาสิ่งที่เหมาะกับคุณ และทำให้เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน

9. ตรวจคัดกรองสุขภาพเป็นประจำ

ตรวจคัดกรองสุขภาพเป็นประจำ

นอกเหนือจากการตรวจสุขภาพตามปกติแล้ว การตรวจคัดกรองสุขภาพอย่างละเอียดโดยเฉพาะก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะโรคทั่วไปในผู้สูงอายุ ซึ่งอาจรวมถึงการตรวจคัดกรองการมองเห็น การได้ยิน และโรคเรื้อรัง การทำความเข้าใจ 10 โรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ ก็สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมว่าการตรวจร่างกายใดบ้างที่จำเป็น

10. ทัศนคติเชิงบวก

การมองโลกในแง่ดี และการรักษาทัศนคติเชิงบวกต่อชีวิตอาจส่งผลอย่างมากต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ ยอมรับความแก่ชราด้วยการมองโลกในแง่ดี และมุ่งเน้นไปที่การดูแลสุขภาพร่างกายควบคู่ไปกับสุขภาพจิตใจ


คำแนะนำเพิ่มเติมในการดูแลผู้สูงอายุ

คำแนะนำเพิ่มเติมในการดูแลผู้สูงอายุ

การดูแลผู้สูงอายุเป็นเรื่องเกี่ยวกับการส่งเสริมวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี ปลอดภัย ซึ่งต้องใช้ความอดทน ความเข้าใจ และความเอาใจใส่ต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป นี่เป็นคำแนะนำเพิ่มเติมในการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดี

ความปลอดภัยภายในบ้าน

  • ปรับเปลี่ยนพื้นที่อยู่อาศัย: ติดตั้งราวจับในห้องน้ำ จัดให้มีแสงสว่างที่ดี และขจัดอันตรายจากการสะดุดล้ม เพื่อทำให้พื้นที่อยู่อาศัยปลอดภัยยิ่งขึ้น
  • ความปลอดภัยในบ้าน: มีเบอร์โทรติดต่อฉุกเฉิน ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุล้มหรือเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์

สุขอนามัยส่วนบุคคล

  • ช่วยเหลืองานประจำวัน: ช่วยหรือให้แน่ใจว่าผู้อายุสามารถจัดการดูแลตัวเองได้ เช่น การอาบน้ำ การแต่งตัว และการแปรงฟัน
  • การดูแลผิว: ให้ความสำคัญกับการดูแลผิว เนื่องจากผิวของผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะแห้งกร้านและได้รับบาดเจ็บง่าย

ส่งเสริมภาวะทางอารมณ์และจิตใจ

  • การฟังและทำความเข้าใจ: คนในครอบครัวควรทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี โดยรับฟังและเข้าใจความกังวลความรู้สึกของผู้สูงอายุ
  • ความเคารพและความเป็นอิสระ: ส่งเสริมความเป็นอิสระในทุกที่ที่เป็นไปได้ พร้อมให้ความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น

การดูแลอย่างมืออาชีพ

  • บริการดูแลที่บ้าน: หากจำเป็นควรพิจารณาความช่วยเหลือจากผู้ดูแลมืออาชีพในกิจกรรมประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขามีอาการป่วยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
  • การประเมินความต้องการ: ประเมินความต้องการเป็นประจำเพื่อปรับแผนการดูแลเมื่อสุขภาพเปลี่ยนแปลง

การเสื่อมสลายของร่างกายเกี่ยวข้องกับการดูแลตัวเองที่ส่งเสริมการมีอายุยืนยาวและความเป็นอยู่ที่ดีด้วย ซึ่งรวมถึง 10 นิสัยประจำวัน เพื่อชะลอวัยอย่างการรักษาอาหารที่สมดุล ออกกำลังกายให้เพียงพอ ตรวจสุขภาพเป็นประจำ นอนหลับให้เพียงพอ มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม กระตุ้นสมอง การจัดการความเครียด เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ และรักษาทัศนคติเชิงบวก นิสัยแต่ละอย่างมีส่วนช่วยในการชะลอวัยแบบองค์รวม เพื่อให้มั่นใจว่าผู้สูงอายุไม่เพียงแต่มีอายุยืนยาวขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย


คำถามที่พบบ่อย

1. ผู้สูงอายุมีวิธีออกกำลังกายง่าย ๆ อะไรบ้าง?

กิจกรรมง่าย ๆ เช่น การเดิน การยืดกล้ามเนื้อ และการเล่นโยคะเบา ๆ สามารถให้ประโยชน์และเป็นการออกกำลังที่ดีสำหรับผู้สูงอายุได้

2. การดื่มน้ำมีความสำคัญต่อผู้สูงอายุอย่างไร?

มีความสําคัญอย่างมาก การดื่มน้ำอย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย และป้องกันภาวะแทรกซ้อนด้านสุขภาพ

3. เหตุใดการตรวจสุขภาพเป็นประจำจึงสำคัญสำหรับผู้สูงอายุ?

การตรวจสุขภาพช่วยในการตรวจพบและจัดการปัญหาสุขภาพได้เร็ว ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น

4. ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสามารถส่งผลต่อสุขภาพของผู้อายุได้จริงหรือ?

ใช่ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสามารถปรับปรุงสุขภาพจิตได้อย่างมาก โดยลดความรู้สึกโดดเดี่ยวและซึมเศร้าได้


อ้างอิง :

น้ำตาล เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะคุ้นเคยกับคำนี้อยู่แล้วเรื่องความอร่อย แต่หากกินของหวานหรือของที่มีน้ำตาลมากเกินไปก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของเราได้ เพราะเวลาที่เราได้รับความหวานหรือน้ำตาลจากอาหาร น้ำตาลจะทำให้รู้สึกดี นั่นจะทำให้สมองจดจำไปโดยอัตโนมัติว่าหากอยากรู้สึกดี จะต้องหาของหวานหรือน้ำตาลกิน หากมีอาการโหยหาของหวาน ๆ ตลอดเวลานั่นแปลว่า คุณนั้นกำลังจะเป็นโรคติดหวานนั่นเอง บทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับคำว่า ติดหวาน ว่าเป็นอย่างไร มีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง อาหารติดหวานนี้จะทำให้เสี่ยงเป็นโรคอะไรได้อีกบ้างไหม แล้วเราจะมีวิธีการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอาการติดหวานได้อย่างไร


ติดหวานอาการเป็นอย่างไร

ติดหวาน

หลาย ๆ คนเวลากินของหวานหรือของที่มีน้ำตาลจะมีความรู้สึกสดชื่น จริง ๆ แล้วนั้นน้ำตาลจะไปช่วยทำให้เรามีแรงเพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่งอีกด้วย แต่หลังจากนั้นไปก็จะเกิดการหลั่งของสารเซโรโทนินที่ทำให้มีอาการง่วงนอนนั่นเอง มีงานวิจัยหนึ่งได้บอกเอาไว้ว่าหากกินน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้หิวเร็ว และหิวบ่อย หิวมากกว่าเดิม เพราะว่าน้ำตาลจะไปทำให้ฮอร์โมนเลปตินลดน้อยลง ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะเป็นฮอร์โมนที่ออกมาหลังจากที่เราอิ่มแล้ว นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมว่าเราถึงไม่อิ่มสักที แล้วถ้ารับประทานน้ำตาลมากเกินไป น้ำตาลจะถูกเปลี่ยนเป็นไกลโคเจนซึ่งจะถูกเก็บไว้ที่ตับ แล้วจึงค่อยนำกลับไปที่กระแสเลือดอีกครั้ง

และสุดท้ายก็จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันที่ไปสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หน้าท้อง ต้นขา สะโพก หากสะสมมากเข้าจะทำให้น้ำหนักตัวเกิน หากยังไม่ยอมเลิกรับประทานน้ำตาลอีกล่ะก็จะทำให้กรดไขมันพวกนี้ไปพอกที่หัวใจ ตับ ไต ทำให้อวัยวะในร่างกายเสื่อมสภาพลงไปเรื่อย ๆ แล้วโรคภัยไข้เจ็บก็จะตามมา แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเราเริ่มมีอาการติดหวาน ในเบื้องต้นจะมีการสังเกตอาการดังนี้

  • รู้สึกอยากกินแต่ของหวาน เช่น ขนม ผลไม้
  • เวลาไม่ได้กินของหวานแล้วจะรู้สึกไม่ดี เหนื่อย หงุดหงิดง่าย
  • หิวบ่อย หรือจะคิดถึงแต่ของกินอยู่เสมอ
  • หลังทานอาหารจะต้องได้ทานของหวานทุกครั้ง
  • จะเติมน้ำตาลในอาหารคาวทุกครั้ง
  • ดื่มน้ำอัดลมมากกว่า 1 แก้วต่อวัน

สาเหตุของอาการติดหวาน

ติดหวาน

เกิดจากการรับประทานของหวานเข้าไปแล้วน้ำตาลไปกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขที่มีชื่อว่า โดพามีน จนเกิดการเสพติด ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับคนที่กำลังอยู่ในภาวะเครียดเรื้อรัง นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ ตามกลไกของร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลผิดปกติ ทำให้มีความอยากของหวานหรือของที่มีไขมันเพิ่มมากขึ้น แล้วยิ่งถ้าของหวานที่กินมีรสชาติที่ไม่มาก ไม่จัดก็จะยิ่งทำให้ไม่อิ่มสักที บางคนก็มีอาการติดหวานที่เกิดจากกรรมพันธุ์ บางคนที่ติดน้ำตาลพบว่ามียีนส์ที่ติดหวานมาจากบรรพบุรุษรวมถึงเรื่องการเลี้ยงดูของคนในบ้านด้วย

หากบ้านนั้นเป็นบ้านที่ไม่ค่อยมีวินัยในการกิน ก็ยากที่จะปลูกฝังให้เด็กเป็นคนรักสุขภาพ และสิ่งที่เราคุ้นเคยที่สุดนั้นคือ หากกินหวานเยอะเป็นโรคอะไรได้หลายอย่าง เราอาจจะกลายเป็นโรคเบาหวานได้ แต่จริง ๆ แล้วโรคเบาหวานไม่ได้เกิดจากการกินของหวานเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะแบ่งโรคเบาหวานแต่ละประเภท ดังนี้

  • เบาหวานประเภทที่ 1 เป็นส่วนน้อย มีประมาณร้อยละ 5 ของผู้ที่เป็นโรคเบาหวานในประเทศไทย ประเภทนี้เกิดจากตับอ่อนในร่างกายไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ จึงทำให้ต้องได้รับอินซูลินเป็นประจำ เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดอินซูลิน และช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงจนเกินไป เพราะอาจหมดสติ และเสียชีวิตได้ มักพบในเด็กและวัยรุ่น
  • เบาหวานประเภทที่ 2 จัดได้ว่าแทบจะเยอะที่สุดในทุกประเภท เพราะมีถึงร้อยละ 95 ของคนที่เป็นโรคเบาหวาน ส่วนใหญ่มักจะเจอในกลุ่มคนที่มีอายุประมาณ 45 ปีขึ้นไป และร่างกายเกิดสภาวะการดื้ออินซูลิน ส่วนใหญ่เบาหวานประเภทนี้จะไม่แสดงอาการอย่างเฉียบพลัน แต่หากขาดการควบคุม ก็อาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายอย่างมากได้
  • เบาหวานประเภทที่ 3 เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์
  • เบาหวานประเภทที่ 4 เป็นเบาหวานประเภทที่เกิดจากสาเหตุอื่น เช่น ความผิดปกติของสารในพันธุกรรม, ยา, โรคทางตับอ่อน cystic fibrosis

สาเหตุของโรคเบาหวาน จึงมีมากกว่าการกินหวานมากๆ เช่น

  • กรรมพันธุ์
  • น้ำหนักเกิน อ้วน ขาดการออกกำลังกาย
  • อายุที่มากขึ้น เสี่ยงเบาหวานมากขึ้น
  • เป็นผู้ป่วยโรคของตับอ่อน เช่น ตับอ่อนอักเสบ หรือเคยได้รับการผ่าตัดตับอ่อน
  • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น หัด หัดเยอรมัน คางทูม ซึ่งมีผลต่อการทำงานของตับอ่อน
  • การได้รับยาบางชนิด ทำให้มีการสร้างน้ำตาลมากขึ้นหรือการตอบสนองของอินซูลินได้ไม่ดี
  • การตั้งครรภ์ เนื่องจากมีการสร้างฮอร์โมนจากรกหลายชนิด ซึ่งมีผลยับยั้งการทำงานของอินซูลิน

ติดหวานเสี่ยงเป็นโรคอะไรบ้าง

ติดหวาน

จะเห็นได้ว่าระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาล มีความเกี่ยวข้องกัน จากการศึกษาพบว่าโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุที่รับประทานน้ำตาลในปริมาณมากจะมีระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี และไขมันในปริมาณมาก เมื่อเทียบกับคนทั่วไป เพราะว่า การรับประทานน้ำตาลในปริมาณมาก ๆ จะทำให้ร่างกายกระตุ้นการทำงานของตับที่ผลิตคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีมากขึ้น แล้วยังจะไปทำให้การยับยั้งคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีน้อยลงด้วย สิ่งที่ตามมาคือ ความอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ตับ ไต ฟันผุ ไขมันในเลือดสูง ไขมันพอกในหัวใจ โรคเกาต์ กรดยูริกในเลือดสูง


ติดหวานแก้ไขและป้องกันได้อย่างไร

ติดหวาน

  • ลดหวานแบบไม่เร่งรีบ ค่อยเป็นค่อยไป เป็นการลดปริมาณน้ำตาลลงทีละเล็กน้อย เช่น ลดปริมาณน้ำตาลในอาหารหรือเครื่องดื่มลงครึ่งหนึ่งจากปริมาณปกติ ซึ่งไม่แนะนำให้หยุดการรับประทานน้ำตาลเลยทันที เพราะอาจทำให้ร่างกายโหยหาน้ำตาลและเราไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้ ทำให้กลับมารับประทานน้ำตาลและอาจรับประทานในปริมาณมากกว่าเดิมรวมทั้งยังส่งผลเสียตามมาอีก เช่น อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืด เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น เพราะฉะนั้นเราควรลดปริมาณน้ำตาลลงในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ร่างกายคุ้นชินกับปริมาณน้ำตาล
  • ดื่มน้ำเปล่า แทนการดื่มน้ำหวาน การดื่มน้ำเปล่าน้อยเกินไปก็เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ร่างกายของเราขาดน้ำและยังอาจทำให้หิวบ่อย อาจเกิดอาการหิวแบบโหยหาของหวาน จึงเป็นสาเหตุในการเลือกรับประทานน้ำหวานแทนเพราะคิดว่าร่างกายต้องการน้ำตาล
  • รับประทานผักใบเขียว เพราะผักใบเขียวให้หลากหลายชนิด เช่น คะน้า กวางตุ้ง บล็อกเคอรี่ ผักบุ้ง เพราะเป็นอาหารที่มีแคลอรีต่ำ อีกทั้งยังมีเส้นใยอาหารสูง ช่วยในการดูดซึมน้ำตาลช้าลงจึงช่วยให้ร่างกายดึงน้ำตาลไปใช้ได้ในปริมาณที่เหมาะสมและพอดี
  • รับประทานอาหารให้หลากหลายมากขึ้น อาหารที่ผู้สูงอายุควรกิน คือการรับประทานอาหารหลากหลายนอกจากจะได้รับสารอาหารที่ครบ 5 หมู่แล้วที่มีทั้งข้าว โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน โดยเฉพาะโปรตีนและไขมัน ที่จะช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่ ยังทำให้ร่างกายอิ่มนานมากยิ่งขึ้น แถมยังช่วยลดอาการอยากของหวาน ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี และทำให้รู้สึกอิ่มได้นาน มากกว่ากินข้าวหรือแป้งที่มีแต่คาร์โบไฮเดรต
  • ลดการเก็บตุนของหวาน หนึ่งในสาเหตุที่มีส่วนทำให้คุณติดของหวานนั่นคือ การที่คุณซื้อของหวานมาติดไว้ที่บ้านบ่อย ๆ การควบคุมของหวานที่ดีที่สุดคือการอ่านฉลากก่อนซื้อเพราะจะทำให้เรารู้ได้ว่าของแต่ละชิ้นนั้นมีน้ำตาลหรือความหวานเท่าไหร่
  • การหาอะไรทำเพื่อลืมของหวาน ถ้าเกิดว่าคุณเป็นคนคนหนึ่งที่ติดการกินหวานมาก ๆ ให้ลองหาอะไรทำ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ออกกำลังกาย เพราะเวลาที่เราหาอะไรทำหลังจากที่มีความรู้สึกอยากจะกินของหวาน ก็จะทำให้ลืมไปได้ว่าอยากกินของหวานอยู่ นอกจากนี้การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มฮอร์โมนเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นฮอร์โมนอารมณ์ดีแบบเดียวกันกับที่เราได้กินของหวานแล้ว

เรียกว่านํ้าตาลมีประโยชน์กับเราอยู่มาก ถ้าหากเราสามารถรับประทานน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันได้ แต่คนส่วนใหญ่มักทานน้ำตาลเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการโดยไม่รู้ตัว เพราะในเครื่องดื่มต่าง ๆ ใส่น้ำตาลเกินกำหนดที่ร่างกายต้องการไปมากถึง2-3เท่า จึงเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่าง ๆ ตามมา ถ้าเรารู้จักควบคุมและเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และไม่ลืมที่จะออกกำลังกายเราก็สามารถมีสุขภาพที่ดีแถมยังห่างไกลโรคได้


อ้างอิง          

ปัจจุบันนี้ผู้ป่วย โรคกรดไหลย้อน พบว่ามีสถิติสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นความผิดปกติกล้ามเนื้อที่อยู่ระหว่างกระเพาะอาหารและท่อทางเดินอาหาร ซึ่งโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่าตนเองเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่ วันนี้เรามีลักษณะอาการ การดูแลรักษาโรคกรดไหลย้อนว่าต้องทำอย่างไรถึงจะหายและไม่กลับมาเป็นอีก


โรคกรดไหลย้อนเกิดจากอะไร และอาการเป็นอย่างไร 

โรคกรดไหลย้อน เกิดจากอะไร และอาการเป็นอย่างไร 

โรคกรดไหลย้อนเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (LES) ที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างกระเพาะอาหารกับหลอดอาหารทำงานผิดปกติ เช่น เกิดการอ่อนแอ เกิดการคลายตัว เป็นต้น จนทำให้ไม่สามารถป้องกันการย้อนกลับของอาหารที่อยู่ในกระเพาะอาหาร ส่งผลให้อาหารที่อยู่ในกระเพาะเกิดการย้อนกลับขึ้นไปที่หลอดอาหาร

ซึ่งสิ่งที่ย้อนกลับขึ้นไปไม่ได้มีเพียงแค่อาหารที่กินเข้าไป น้ำย่อยนี้มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ทำให้เยื่อบุหลอดอาหารเกิดอาการระคายเคืองหรือโรคกรดไหลย้อน โดยโรคกรดไหลย้อนจะมีอาการดังนี้

    1. แสบร้อนบริเวณหน้าอก พบได้บ่อยโดยเฉพาะช่วงหลังจากรับประทานอาหารมื้อหนัก
    2. เรอเปรี้ยว รสเปรี้ยวหรือรสขมนี้เป็นรสของน้ำย่อยที่มีฤทธิ์เป็นกรดนั้นเอง
    3. ท้องอืด แน่นท้อง หรือมีอาการ ท้องผูก ร่วมด้วย
    4. คลื่นไส้ อาเจียน ไม่สบายท้อง จึงต้องการเอาอาหารที่อยู่ในกระเพาะอาหารออกมา
    5. แน่นหน้าอก น้ำย่อยและอาหารเกิดการย้อนกลับขึ้นมาที่บริเวณหลอดอาหาร จึงเจ็บหน้าอกหรือจุกหน้าอก 
    6. หืดหอบ ไอแห้ง ๆ เสียงแหบ
    7. เจ็บคอเรื้อรัง

นี่เป็นลักษณะอาการของผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นในช่วงแรกจะมีความรุนแรงเล็กน้อย มีอาการช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วหายไป แต่ถ้าไม่ทำการรักษา ความรุนแรงของโรคกรดไหลย้อนก็จะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากมีอาการเหล่านี้ควรตรวจสอบและทำการรักษาทันที


วิธีแก้โรคกรดไหลย้อนเบื้องต้น 

วิธีแก้โรคกรดไหลย้อนเบื้องต้น 

การรักษาโรคกรดไหลย้อนทำได้ไม่ยาก ยิ่งถ้าอาการของโรคไม่รุนแรงก็จะยิ่งรักษาให้หายได้อย่างรวดเร็ว โดยการรักษาโรคกรดไหลย้อนเบื้องต้นสำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงมีวิธีการดังนี้

  1. แบ่งกินน้อย ๆ ปรับพฤติกรรมการกินอาหารให้กินมื้อละน้อย ๆ แต่กินหลาย ๆ มื้อ
  2. ห้ามนอนหลังรับประทานอาหารเสร็จ ควรเว้นระยะอย่างน้อย 30- 40 นาที ถึงจะสามารถนอนได้หรือใช้การเอนหลังเพียงแค่ 30-40 องศาแทนการนอนราบกับพื้น บางรายก็เกิดอาการ นอนไม่หลับ แทน
  3. งดอาหารรสจัด ไม่ว่าจะมันจัด เผ็ดจัด และงดอาหารที่มีไขมันสูง
  4. อย่าเครียด ความเครียดเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารหลังจากที่รับประทานอาหารไปแล้ว ดังนั้นควรรู้จักวิธีผ่อนคลายความเครียด เพื่อลดการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร 

โรคกรดไหลย้อนดูแลรักษาอย่างไรได้บ้าง 

โรคกรดไหลย้อน ดูแลรักษาอย่างไรได้บ้าง 

หากปรับพฤติกรรมตามนี้อาการกรดไหลย้อนที่เป็นอยู่จะค่อย ๆ ดีขึ้น และหายได้เองตามลำดับ แต่สำหรับคนที่มีอาการกรดไหลย้อนขั้นรุนแรง การปรับพฤติกรรมเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถหายได้ ดังนั้น จำเป็นต้องการได้การรักษาดังนี้

1. การรักษาด้วยยา

การรักษาโรคกรดไหลย้อนในช่วงแรก จะทำการรักษาด้วยการรับประทานยาก่อน โดยยาที่ใช้รักษาโรคจะแบ่งออกเป็นลำดับ ดังนี้

  • ยาลดกรด (Antacids) หรือยาลดการผลิตกรด (H2-BLOCKERS) เป็นยาใช้รักษาโรคกรดไหลย้อน โดยตัวยาจะเข้าไปทำปฏิกิริยาเกิดเป็นฟองหรือโฟมที่บริเวณด้านบนของกระเพาะอาหารช่วยป้องกันไม่ให้อาหารและน้ำย่อยย้อนขึ้นไปหลอดอาหาร ยานี้เหมาะกับโรคกรดไหลย้อนที่ไม่รุนแรงและบรรเทาอาการได้ในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ไม่สามารถรักษาโรคให้หายได้ 
  • ยาปั๊มกรดหรือยายับยั้งโปรตอนปั๊ม เป็นยารักษาโรคกรดไหลย้อนด้วยการเข้าไปยับยั้งการผลิตกรดที่บริเวณกระเพาะอาหาร โดยการเข้าไปจับตัวกับโปรตีนที่ใช้ในการสร้างกรดน้ำย่อย ทำให้กระเพาะอาหารไม่สามาถรผลิตน้ำย่อยออกมาได้ 
  • Prokinetics Agents คือ ยาที่อยู่ในกลุ่ม Prokinetic Agents ซึ่งยาชนิดนี้จะเข้าเป็นยาที่เพิ่มการบีบตัว (motility) หรือกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหูรูดที่กระเพาะอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถปิดได้สนิท ส่งผลให้อาหารและกรดที่อยู่ในกระเพาะอาหารไม่สามารถไหลกลับขึ้นมาได้ 

2. การผ่าตัด

สำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อนและรักษาด้วยยาเป็นเวลานาน แต่ยังไม่สามารถควบคุมหรือรักษาโรคให้หายได้ หรือผู้ป่วยที่มีอาการแทรกซ้อนจากการกินยารุนแรง สามารถทำการรักษาโรคกรดไหลย้อนด้วยการผ่าตัด เพื่อตกแต่งกล้ามเนื้อหูรูดกระเพาะอาหารให้กระชับ


โรคกรดไหลย้อน ห้ามกินอะไร 

โรคกรดไหลย้อนห้ามกินอะไร 

เมื่อมีอาการโรคกรดไหลย้อนไม่สามารถกินอาหารได้ทุกอย่าง เนื่องจากกระเพาะอาหารและหลอดอาหารมีความผิดปกติ โดยอาหารต้องห้ามสำหรับคนเป็นโรคกรดไหลย้อนมีดังนี้

  1. อาหารรสจัด เช่น อาหารที่มีรสเปรี้ยวจัด อาหารรสเผ็ดจัด เพราะอาหารรสจัดจะเข้าไปกระตุ้นการสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น 
  2. อาหารไขมันสูง เช่น อาหารทอด อาหารมัน  ไขมันสัตว์ ไขมันพืช เป็นต้น เพราะอาหารมันจะเข้าไปทำปฏิกิริยากับน้ำย่อย ทำให้เกิดอาการจุกเสียดแน่นท้องได้
  3. อาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส เช่น น้ำอัดลม น้ำอัดลม ชา กาแฟ โซดา เครื่องดื่มชูกำลัง ถั่ว รวมถึงผักที่ทำให้เกิดแก๊สสูง เช่น หอมหัวใหญ่ดิบ กระเทียม พริก พริกไทย หอมแดง เปปเปอร์มินต์ และของหมักดอง เป็นต้น เพราะแก๊สที่เกิดจะส่งผลให้น้ำย่อยเกิดมากขึ้น

อาหารต้องห้ามสำหรับคนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ส่วนมากจะเป็นอาหารที่มีความสุดโต่ง เช่น มันจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัดและอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ดังนั้น สำหรับผู้สูงอายุ หรือคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารควรเลือกรับประทานอาหารรสอ่อน ๆ และรับประทานน้อย ๆ ในแต่ละมื้อ แต่เพิ่มมื้อระหว่างวัน เพื่อป้องกันลดปริมาณน้ำย่อยที่กระเพาะอาหารสร้างขึ้นให้น้อยลง


5 สมุนไพรบรรเทา โรคกรดไหลย้อน

5 สมุนไพรบรรเทาโรคกรดไหลย้อน

การรับประทานสมุนไพรสามารถบรรเทาและรักษาอาการของโรคกรดไหลย้อนมีอยู่หลายชนิด ดังนี้

  1. ขมิ้นชัน เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการช่วยขับลม ย่อยอาหารได้ดีมากขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยเคลือบผนังของกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร จึงช่วยลดอาหารแสบร้อนได้
  2. กล้วยดิบ ในกล้วยดิบจะมีสารแทนนินที่มีสรรพคุณช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร สมานบาดแผล และช่วยลดอักเสบได้
  3. ขิง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยขับลม ลดกรดในกระเพาะอาหาร 
  4. ผลมะตูมอ่อน เป็นสมุนไพรมีสรรพคุณช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร สมานแผลในกระเพาะอาหาร
  5. ว่านหางจระเข้ เป็นอีกหนึ่งสมนไพรที่มีสรรพคุณช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร จึงช่วยลดกรดได้เป็นอย่างดี

สมุนไพรที่กล่าวมานี้เป็นสมุนไพรที่หารับประทานได้ง่าย ๆ แต่รับรองได้ว่าช่วยบรรเทาและรักษาอาการโรคกรดไหลย้อนเบื้องต้นได้ ทั้งนี้ ในผู้ป่วยสูงอายุหากจะทานสมุนไพร ควรระวังเรื่องโรคประจำตัวต่าง ๆ หรือควรพบแพทย์ เพื่อหาวิธีการรักษาที่เหมาะสม


อ้างอิง

วิธีดูแลผู้สูงอายุ อย่างถูกต้องและสุขภาพดีทั้งกายใจ

“ผู้สูงอายุ” เป็นวัยที่ลูกหลานต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องด้วยสภาพร่างกายที่เสื่อมสมรรถภาพไปตามกาลเวลา รวมไปถึงสภาวะจิตใจที่บอบบางอ่อนไหวได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ ทำให้คนในครอบครัวต้องคอยดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ดังนั้น หากเรามีความรู้และทักษะในการรับมือ และมี วิธีดูแลผู้สูงอายุ อย่างถูกวิธี ก็จะทำให้ผู้สูงอายุมีสภาพร่างกาย และจิตใจที่แจ่มใสเบิกบาน พร้อมอยู่กับคนในครอบครัวอย่างยืนนาน


เมื่อต้องดูแลผู้สูงอายุควรเตรียมตัวอย่างไร

วิธีดูแลผู้สูงอายุ

เมื่อต้องดูแลผู้สูงอายุ สิ่งแรกที่ต้องคำนึงและเตรียมตัว นั่นคือ การศึกษาความรู้เพื่อให้มีความเข้าใจในผู้สูงอายุ ทั้งร่างกายและอารมณ์ที่ผู้ดูแลจะต้องรับมือ เนื่องด้วยสภาพอารมณ์ที่อาจจะมีการแปรปรวน หลงลืม หรือวิตกกังวล และสุขภาพร่างกายที่เสื่อมโทรม เพื่อที่เราจะได้รักษาได้ในเบื้องต้น

พร้อมกันนี้ผู้ดูแลก็จะต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สภาวะอารมณ์แจ่มใสละเว้นจากความเครียด ก็จะทำให้การดูแลผู้สูงอายุมีประสิทธิภาพมากขึ้น แนะนำ การดูแลผู้สูงอายุอย่างถูกวิธี


วิธีดูแลผู้สูงอายุ ให้สุขภาพดีทั้งกายใจ

วิธีดูแลผู้สูงอายุ

1. สภาพแวดล้อมที่ดี

สำหรับสภาพแวดล้อมถือได้ว่าเป็นหนึ่งในวิธีดูแลผู้สูงอายุ และเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงเป็นอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยจะต้องปลอดโปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดีสดชื่น ร่มรื่น เพราะนั่นจะทำให้ผู้สูงอายุมีความรู้สึกที่ผ่อนคลายมีคุณภาพชีวิตที่ดี

2. ควบคุมเรื่องอาหาร

ในเรื่องของอาหารการกิน เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญสำหรับดูแลผู้สูงอายุ ในการที่จะให้ผู้สูงอายุได้รับสารอาหารที่เพียงพอและครบถ้วน ถูกสุขอนามัยตามหลักโภชนาการ และเน้นอาหารที่ค่อนข้างย่อยง่าย ไขมันต่ำ

3. หมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ

เรื่องของสุขภาพเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยด้วยเช่นกัน เพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นกระดูก หรือกล้ามเนื้อ ก็จะทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมสมรรถภาพช้าลง รวมถึงระบบไหลเวียนต่าง ๆ ให้มีระบบหมุนเวียนที่คล่องตัวมากขึ้น โดยการออกกำลังกายอาจจะเป็นการเดิน การยืนแกว่งแขน บริหารกายภาพ อย่างน้อยวันละ 10 – 20 นาที จะทำให้สุขภาพร่างกายของผู้สูงอายุแข็งแรงมากขึ้น

4. ควบคุมน้ำหนักตัว

การควบคุมน้ำหนักตัว เป็นสิ่งที่ควรต้องพึงกระทำ เนื่องจากการที่ผู้สูงอายุมีน้ำหนักตัวมากจนเกินไป อาจเป็นการส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย และอาจก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมา พร้อมกันนี้การควบคุมน้ำหนักจะช่วยลดในเรื่องของปัญหาข้อและกระดูกอีกด้วย

5. หากิจกรรมทำร่วมกัน

ในวัยของผู้สูงอายุในบางราย เกิดสภาวะอารมณ์แปรปรวน ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์น้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกเหมือนไม่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ซึ่งอาการนี้อาจทำให้สภาพจิตใจนั่นแย่ลง การหากิจกรรมทำร่วมกัน หมั่นหากิจกรรมที่มีประโยชน์ได้ทำร่วมกัน สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ และเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว นอกจากนั้น ยังเป็นการผ่อนคลายความเครียดอีกด้วย

6. หมั่นตรวจสุขภาพประจำปี

อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรละเลยในการดูแลผู้สูงอายุ นั่นก็คือ การพาไปตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคร้ายต่าง ๆ ที่อาจตามมา เพื่อที่จะได้รักษาอาการได้ทันถ่วงที พร้อมกับการวางแผนรักษาในระยะยาวต่อไป หากต้องพา ผู้สูงอายุตรวจสุขภาพ ควรเตรียมตัวอย่างไร?

7. สังเกตพฤติกรรมอารมณ์และร่างกายของผู้สูงอายุ

ลูกหลานหรือคนในครอบครัว ควรที่จะหมั่นสังเกตพฤติกรรมอารมณ์และร่างกายของผู้สูงอายุ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่ เพื่อเช็กความผิดปกติไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกายหรืออารมณ์ เพื่อป้องกันเฝ้าระวังและหาวิธีรักษาได้ทันตั้งแต่เนิ่น ๆ 

8. ละเว้นสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ

การดูแลผู้สูงอายุในส่วนของการละเว้นสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือพฤติกรรมอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย ควรที่จะ งด ละ เลิก ทั้งหมด เพื่อป้องกันความเสื่อมสภาพของร่างกายที่จะตามมา


ข้อควรระวังในการดูแลผู้สูงอายุ

ข้อควรระวังในการดูแลผู้สูงอายุ

สำหรับวิธีการดูแลผู้สูงอายุ นอกจากคนในครอบครัวและลูกหลานจะดูแลเอาใจใส่แล้ว ยังมีเรื่องของข้อควรระวังในการดูแลผู้สูงอายุ ก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน หากเราสามารถหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ที่ทำให้ผู้สูงอายุก่อเกิดความเครียดได้ ก็จะทำให้การดูแลผู้สูงอายุมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งทางกายและจิตใจ เป็นข้อควรระวังที่คนในครอบครัวควรปฏิบัติ

1. ระมัดระวังคำพูดที่กระทบจิตใจ

สิ่งข้อควรระวังอย่างแรก นั่นก็คือ คำพูดของลูกหลานที่มีต่อผู้สูงอายุ การที่จะพูดหรืออธิบายควรที่จะใช้คำพูดหรือการกระทำอย่างระมัดระวัง ไม่พูดจาที่กระแทกหรือใส่อารมณ์ เพราะวัยสูงอายุเป็นวัยที่สภาพจิตใจนั้นบอบบาง

2. ให้ความสำคัญ ไม่ละเลย

ลูกหลานต้องหมั่นเข้าไปถามไถ่พูดคุยกับผู้สูงอายุอยู่บ่อยครั้ง เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นหนึ่งในคนสำคัญของครอบครัว ในบางเรื่องอาจให้อำนาจในการตัดสินใจ รวมไปถึงการเห็นคุณค่าและเคารพนับถือ 

3. การใช้ยาที่ไม่เหมาะสม

ในส่วนของวิธีดูแลผู้สูงอายุ ในด้านของสิ่งที่ควรต้องระวัง นั่นก็คือ หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่เหมาะสมต่อผู้สูงอายุบุคคลนั้น ๆ คนในครอบครัวควรที่จะมีความรู้ความเข้าใจในการใช้ยาพื้นฐาน ว่าผู้สูงอายุสามารถทานได้หรือไม่ได้ เพราะหากขาดความรู้ความเข้าใจ อาจส่งผลเสียต่อสุขร่างกายของผู้สูงอายุได้

4.การเกิดอุบัติเหตุ

อีกหนึ่งข้อควรระวังในการดูแลผู้สูงอายุ คือ การดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็น การหกล้ม หรือ พลัดตก ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นสิ่งที่ตามมา เนื่องจากการเคลื่อนไหวของผู้สูงอายุ ที่ไม่มีความแข็งแรงเคลื่อนไหวตัวไม่สะดวก ดังนั้น การจัดบริเวณที่อยู่อาศัย จึงเป็นสิ่งที่สำคัญควรจะให้มีความเหมาะสม เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้

 

สำหรับวิธีดูแลผู้สูงอายุ หากคนในครอบครัวมีความรู้ความเข้าใจในการดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ ย่อมจะส่งผลดีให้แก่ผู้สูงอายุที่เราเคารพรัก เพื่อผู้สูงอายุจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ร่าเริงแจ่มใส หากทุกคนช่วยกันหันมาดูแล ก็จะทำให้ผู้สูงอายุมีอายุที่ยืนยาว อยู่ในครอบครัวที่แสนอบอุ่นต่อไปได้


อ้างอิง

บิลเบอร์รี่บำรุงสายตา และประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจที่คุณควรรู้

บิลเบอร์รี่บำรุงสายตา เป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในซีกโลกเหนือ และพบมากในประเทศแถบยุโรป ผลมีสีน้ำเงินม่วงนิยมนำมารับประทานอย่างแพร่หลาย อย่างผลบิลเบอร์รี่สุกก็มาทำเป็นแยม ส่วนของใบและก้านก็นำมาอบแห้งเพื่อทำเป็นผงชาสำหรับดื่มเพื่อสุขภาพกัน และสกัดเป็นอาหารเสริมมานานหลายศตวรรษ เชื่อว่าการบริโภคบิลเบอร์รี่จะช่วยเพิ่มการมองเห็นในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตาได้ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างมากมาย


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับบิลเบอร์รี่

บิลเบอร์รี่บำรุงสายตา

บิลเบอร์รี่ (Bilberry) เป็นผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ มีลักษณะคล้ายบลูเบอร์รี่แต่ขนาดเล็กกว่าและมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าบลูเบอร์รี่ถึง 4 เท่า ในประเทศไทยมักพบในรูปแบบของสารสกัดในอาหารเสริม บิลเบอร์รี่บำรุงสายตา

บิลเบอร์รี่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาอาการเกี่ยวกับตา การนอนหลับ อารมณ์ และปรับปรุงการทำงานของร่างกายให้ดีขึ้น เนื่องจากบิลเบอร์รี่มีสารฟลาโวนอยด์สูง ซึ่งมีสารประกอบหลายชนิดที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) และมีแคโรทีนที่สำคัญในการรักษาสุขภาพ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ให้ดียิ่งขึ้น ลดการอักเสบของหลอดเลือด อันเป็นสาเหตุของ โรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ อย่างโรคหัวใจ โรคทางประสาทและสมอง ช่วยฟื้นฟูการสร้างคอลลาเจนให้ผิวอ่อนเยาว์ และช่วยบำรุงสายตาให้มองเห็นได้ดีมากขึ้น


คุณสมบัติสำคัญของบิลเบอร์รี่

จากผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์หลายประเทศจึงได้ค้นพบสารสำคัญในผลบิลเบอร์รี่ และกล่าวได้ว่า บิลเบอร์รี่บำรุงสายตา ได้ดีมาก เพราะมีสารสำคัญอย่างแอนโทไซยาโนไซด์ ซึ่งจัดอยู่ในสารประเภทฟลาโวนอยด์ มีประโยชน์ในการบำรุงสายตาและบำรุงจอตา ป้องกันโรคทางสายตาและอาการต่าง ๆ ทำให้มองเห็นในที่มืดได้ดีขึ้น ช่วยคลายความเหนื่อยล้าของดวงตา และช่วยในการไหลเวียนเลือดในเส้นเลือดฝอย

นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี อี และไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยปกป้อง และถนอมดวงตาไม่ให้โดนทำลาย เพิ่มความแข็งแรงให้กับหลอดเลือด และยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ช่วยลดการเกิดโรค รวมถึงกระตุ้นให้ร่างกายสร้างกลูตาไธโอนเพิ่มขึ้นด้วย


สรรพคุณ และประโยชน์ต่อสุขภาพ

สรรพคุณ และประโยชน์ต่อสุขภาพ

สรรพคุณของบิลเบอร์รี่นั้นส่งผลกับดวงตาโดยตรง ซึ่งสารที่มีอยู่ในบิลเบอร์รี่ ประกอบด้วย

  1. แอนโธไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดี ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ประสาทตา สามารถจับกับผิวที่จอเรติน่าบนดวงตาได้ดี จึงทำให้มองเห็นภาพ และการมองเห็นในที่มืดดีขึ้น
  2. ฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) เป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้นเรียบเนียน และช่วยป้องกันโรคได้หลายชนิด
  3. แทนนิน (Tannins) มีฤทธิ์ในการสมานแผล และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด
  4. กลูโคควินิน (Glucoquinine) มีฤทธิ์กระตุ้นให้การทำงานของอินซูลินและควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดี เพราะช่วยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลในร่างกายให้เป็นพลังงาน

บิลเบอร์รี่บำรุงสายตา

บิลเบอร์รี่ นับเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณที่สำคัญกับดวงตามากมาย นอกจากจะช่วยในเรื่องการมองเห็นได้ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ดวงตาทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยป้องกันเลนส์ตา ลดโอกาสในการเกิดโรคต้อกระจก ต้อหิน ตาเสื่อมได้อีกด้วย สารสกัดจากบิลเบอร์รี่ก็นำทำมาเป็นเครื่องดื่มสุขภาพ หรืออาหารเสริม เพื่อให้ทานได้ง่ายขึ้น และได้รับสารอาหารที่เพียงพอ

การศึกษาวิจัยถึงประโยชน์ของ บิลเบอร์รี่ บำรุงสายตา พบว่า การรับประทานบิลเบอร์รี่ ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ จะช่วยทำให้คลายความเมื่อยล้าของดวงตาเมื่อใช้สายตานาน ๆ เพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นเลือดฝอยและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดฝอยที่ตา ทำให้ดวงตาได้รับสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงได้ดีขึ้น บรรเทาอาการตาแห้ง เนื่องจากผลบิลเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยป้องกันอาการเสื่อม และลดความเสี่ยงของภาวะต้อกระจก มีสารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอดที่จะช่วยป้องกันสารพิษที่จะเข้าสู่ร่างกาย ช่วยชะลอความแก่ชรา และที่สำคัญคือช่วยป้องกันสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งได้

นอกจากนี้ในบิลเบอร์รี่ยังมีสารอาหารอื่น ๆ ที่ช่วยดูแลสุขภาพดวงตาและร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน มีไฟเบอร์สูง ซึ่งมีส่วนช่วยให้ระบบย่อยอาหารแข็งแรง เป็นต้น บิลเบอร์รี่นั้นจึงเป็นผลไม้ที่ดีที่สุดในการรับประทาน เพื่อบำรุงและแก้ปัญหาของสายตา ที่เหนือว่าผลไม้ชนิดอื่น ๆ เลยก็ว่าได้


ผู้สูงอายุทาน บิลเบอร์รี่ บำรุงสายตา ได้หรือไม่?

ผู้สูงอายุทาน บิลเบอร์รี่ บำรุงสายตา ได้หรือไม่?

สารอาหารในบิลเบอร์รี่นั้นช่วยถนอมสายตาได้เป็นอย่างดี ทำให้ดวงตาแข็งแรงและมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม ช่วยในเรื่องการมองเห็น ทำให้สายตาดีขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพิ่มสีจอประสาททำให้สายตา สามารถทนต่อแสงได้ดีมากขึ้น ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา สร้างความแข็งแรง ไม่ให้ดวงตาเสื่อมก่อนวัย และยังช่วยลดอาการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง บำรุงผิวพรรณได้ด้วย

บิลเบอร์รี่ เป็นราชาแห่งการบำรุงดวงตา เพราะมีสารอาหารที่จำเป็นและมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยดูแลและบำรุงสุขภาพของดวงตา ป้องกันภาวะสายตาเสื่อม ลดความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับดวงตาที่จะเกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นได้ด้วย จึงเหมาะสำหรับใครที่ต้องทำงานอยู่กับคอมพิวเตอร์ หรือต้องใช้สายตาเป็นเวลานาน ๆ ก็อาจจะทำให้ดวงตาเกิดอาการเมื่อยล้าได้ รวมถึง การดูแลผู้สูงอายุ ที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตาก็สามารถรับประทานได้ แต่ควรขอคำแนะนำจากแพทย์เสียก่อนด้วย


ข้อควรระวังในการรับประทาน

ข้อควรระวังในการรับประทาน

บิลเบอร์รี่ จึงนิยมนำมาสกัดทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือวิตามินที่ใช้ในการบำรุงสายตา มีทั้งในรูปแคปซูลและแบบน้ำ และจะเห็นผลดีที่สุดหากรับประทานร่วมกับวิตามินซี แม้ว่าสารสกัดจากบิลเบอร์รี่จะมีผลในการปกป้องและบำรุงสายตาได้จริง ก็อย่ารับประทานเกินปริมาณที่แนะนำ หรือทานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน

ในผู้สูงอายุหรือคนที่มีโรคประจำตัวต่าง ๆ ห้ามรับประทานบิลเบอร์รี่ โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนเด็ดขาด หรือหากคุณกำลังใช้ยาต่อไปนี้ เช่น ยารักษาโรคเบาหวาน ยาที่ใช้ป้องกันลิ่มเลือด เพราะยาอื่น ๆ อาจทำปฏิกิริยากับบิลเบอร์รี่ และก่อให้เกิดอันตราย หรือผลข้างเคียงต่อร่างกายได้


ปัจจุบันบิลเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มักนิยมนำมาเป็นอาหารเสริม และได้รับความสนใจอย่างมากในการนำมาใช้รักษาบำรุงดูแลสุขภาพของดวงตาในผู้สูงอายุ หรือคนที่ต้องการถนอมดวงตาไม่ให้เสื่อมก่อนวัย แก้ปัญหาของสายตาที่เกิดจากการทำงาน ใช้สายตาเป็นเวลานาน การอ่านหนังสือ หรือเล่นโทรศัพท์มือถือ ซึ่งการเลือกทานบิลเบอร์รี่นั้นในผู้สูงวัยหรือคนทานยาอื่น ๆ อยู่ก็ต้องมีการปรึกษาทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดอันตราย รวมถึงผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับสายตาก็อย่าลืมปรึกษาแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำ หรือหาแนวทางการรักษาที่ดีที่สุดก่อน


อ้างอิง