โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเกิดจากแรงดันเลือดในหลอดเลือดแดงที่สูงเกินมาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในหลายด้าน เช่น การทำงานของหัวใจ ไต และหลอดเลือด หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตเรื้อรัง การดูแลรักษาและป้องกันความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยสูงอายุ ในบทความนี้จะครอบคลุมถึงอาการของความดันโลหิตสูง ผลกระทบต่อสุขภาพ การป้องกัน วิธีลดความดันโลหิตสูง และคำแนะนำในการเลือกอุปกรณ์วัดความดันโลหิตที่เหมาะสม รวมถึงอาหารที่ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติสำหรับผู้สูงอายุ
ความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุ
ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นภาวะที่ความดันโลหิตในหลอดเลือดแดงสูงเกินค่าปกติ ซึ่งเกิดจากแรงดันของเลือดที่ไหลผ่านหลอดเลือดแดงมีค่าสูงกว่าระดับที่เหมาะสม โดยค่าความดันโลหิตปกติสำหรับผู้ใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท (มม.ปรอท) ซึ่งตัวเลขแรกคือค่าความดันขณะหัวใจบีบตัว และตัวเลขที่สองคือค่าความดันขณะหัวใจคลายตัว หากค่าความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มม.ปรอท ถือว่าอยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวังหรือรักษา เนื่องจากอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย ความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระบบหลอดเลือดและหัวใจเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะการสูญเสียความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือด และการเสื่อมของระบบการทำงานของหัวใจตามวัย
สาเหตุของความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุ
ความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุเกิดจากหลายปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กัน ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาตามวัย ปัจจัยทางพันธุกรรม และพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มักส่งผลร่วมกันและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง เช่น
- อายุที่เพิ่มขึ้น: เมื่ออายุมากขึ้น ผนังหลอดเลือดจะค่อย ๆ สูญเสียความยืดหยุ่นและแข็งตัวมากขึ้น ส่งผลให้แรงดันเลือดในหลอดเลือดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหัวใจต้องทำงานหนักขึ้นในการสูบฉีดเลือด
- พันธุกรรม: ผู้สูงอายุที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะพ่อแม่หรือพี่น้อง มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้ เนื่องจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด
- การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม: การบริโภคอาหารที่มีเกลือ โซเดียม และไขมันสูงเป็นประจำและต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้มีการสะสมของสารพิษในร่างกาย ส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นและเพิ่มภาระการทำงานของหัวใจ
- ความเครียดและการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ: ภาวะความเครียดเรื้อรังและการนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพ ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัวและความดันโลหิตสูงขึ้น
- การขาดการออกกำลังกาย: การมีวิถีชีวิตที่ไม่กระฉับกระเฉงและขาดการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง
อาการที่ควรระวัง
โรคความดันโลหิตสูงมักไม่แสดงอาการที่ชัดเจนในระยะแรก ทำให้หลายคนละเลยการตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม เมื่อความดันโลหิตสูงขึ้นมากหรือมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น ผู้ป่วยอาจสังเกตพบอาการต่าง ๆ ที่ควรให้ความสนใจดังต่อไปนี้
- ปวดศีรษะ โดยเฉพาะบริเวณท้ายทอย ซึ่งมักเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง อาการปวดอาจรุนแรงขึ้นเมื่อตื่นนอนตอนเช้าหรือเมื่อมีความเครียด
- เวียนศีรษะหรือมึนงง ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อเปลี่ยนท่าทางกะทันหัน หรือลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
- มีปัญหาในการมองเห็น เช่น เห็นภาพเบลอ มีจุดดำลอยไปมาในสายตา หรือการมองเห็นที่เปลี่ยนแปลงไปจากปกติ
- หายใจลำบาก หรือเจ็บหน้าอก โดยเฉพาะเมื่อออกแรงหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงาน
- มีเลือดกำเดาไหล (ในบางกรณี) ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชัดเจนหรือเกิดขึ้นบ่อยกว่าปกติ
หากสังเกตพบอาการเหล่านี้ ไม่ควรรอช้าหรือละเลย ควรรีบตรวจวัดความดันโลหิตทันที และปรึกษาแพทย์เพื่อรับการประเมินอาการและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายได้
ผลกระทบต่อสุขภาพ
ความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมสามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพในหลายด้าน การเฝ้าระวังและป้องกันจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่ร้ายแรงเหล่านี้ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ดังนี้
- โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูงทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวและอ่อนแอลง เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจตาย และโรคหลอดเลือดหัวใจ
- โรคหลอดเลือดสมอง การไหลเวียนเลือดที่ผิดปกติและแรงดันเลือดที่สูงเกินไปสามารถทำให้หลอดเลือดในสมองเสื่อมสภาพ เกิดการตีบตัน แตก หรือปริแตก ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้
- โรคไตเรื้อรัง ความดันโลหิตสูงสามารถทำลายหลอดเลือดฝอยและหน่วยไตอย่างช้าๆ ทำให้ไตสูญเสียความสามารถในการกรองของเสีย ส่งผลให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังและอาจต้องล้างไตในที่สุด
- ปัญหาด้านการมองเห็น หลอดเลือดในจอประสาทตาที่ได้รับความเสียหายจากความดันโลหิตสูงอาจทำให้เกิดภาวะเรตินาเสื่อม จอประสาทตาผิดปกติ และอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
- คุณภาพชีวิตลดลง ความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้าเรื้อรัง ข้อจำกัดในการทำกิจวัตรประจำวัน ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางสังคมและครอบครัว
วิธีลดความดันโลหิตสูง ในผู้สูงอายุ
การดูแลความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตเรื้อรัง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงการเลือกวิธีที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ จะช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืน
1. การรับประทานอาหาร
- ลดการบริโภคเกลือ จำกัดการบริโภคเกลือไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 1 ช้อนชา เลือกใช้เกลือโซเดียมต่ำหรือปรุงอาหารเองเพื่อลดการใช้เครื่องปรุงรสจัด
- เพิ่มผักและผลไม้ในอาหาร รับประทานผักใบเขียว เช่น ผักโขม บร็อคโคลี และผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย ส้ม เพื่อช่วยปรับสมดุลของโซเดียมในร่างกาย
- หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและไขมันทรานส์ เช่น ไส้กรอก เบคอน และขนมอบสำเร็จรูปที่มีไขมันไม่ดี ซึ่งส่งผลต่อการไหลเวียนเลือด
- เพิ่มโปรตีนไขมันต่ำ เช่น ปลาแซลมอน อกไก่ และถั่ว เพื่อเสริมสร้างสุขภาพหลอดเลือด
2. การออกกำลังกาย
- เดินหรือวิ่งเบาๆ การออกกำลังกายเบาๆ เช่น เดินเร็ว 30 นาทีต่อวัน ช่วยปรับสมดุลของระบบไหลเวียนเลือด
- โยคะหรือการออกกำลังกายเพื่อการผ่อนคลาย ช่วยลดความเครียดและปรับปรุงระบบหลอดเลือด
3. การจัดการความเครียด
- ฝึกสมาธิหรือโยคะ ช่วยลดความเครียดที่เป็นปัจจัยกระตุ้นความดันโลหิตสูง
- นอนหลับให้เพียงพอ ควรนอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมงในบรรยากาศที่สงบ การพักผ่อนที่ดีช่วยลดความเสี่ยงจากความดันโลหิตสูง
- การทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย
การอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือทำงานอดิเรกที่ชอบ ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายและลดระดับความเครียด
4. การเฝ้าระวังและตรวจสุขภาพ
- การวัดความดันโลหิตเป็นประจำ
ควรวัดความดันโลหิตด้วยเครื่องวัดที่บ้าน เพื่อเฝ้าติดตามระดับความดันโลหิตและปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม
- การตรวจสุขภาพประจำปี
การตรวจสุขภาพช่วยประเมินความเสี่ยงและตรวจพบภาวะที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิตได้เร็วขึ้น
การใช้อุปกรณ์วัดความดันโลหิต
วิธีเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสม
- เครื่องวัดความดันโลหิตแบบดิจิทัล เหมาะสำหรับการใช้งานในบ้าน ใช้งานสะดวก แสดงผลแม่นยำ และมีระบบบันทึกข้อมูลที่ช่วยให้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิตได้อย่างต่อเนื่อง เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการดูแลสุขภาพด้วยตนเองที่บ้าน
- เครื่องวัดความดันโลหิตแบบพกพา เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่เดินทางบ่อย มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา พกพาสะดวก สามารถตรวจวัดได้ทุกที่ทุกเวลา และมีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนาน ทำให้ไม่พลาดการติดตามค่าความดันแม้อยู่นอกบ้าน
เทคนิคการวัดความดันโลหิตอย่างถูกต้อง
- ก่อนการวัดความดันโลหิต ควรนั่งพักในที่เงียบสงบ ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจอย่างน้อย 5 นาที เพื่อให้ร่างกายปรับสภาวะให้เป็นปกติ และหลีกเลี่ยงการวัดหลังจากออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วทันที
- จัดท่าทางให้ถูกต้องโดยวางแขนบนโต๊ะหรือที่วางแขนในระดับเดียวกับหัวใจ และควรใช้แขนข้างเดิมในการวัดทุกครั้ง เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบค่าความดันโลหิตได้อย่างแม่นยำและเชื่อถือได้ ไม่ควรไขว้ขาหรือพูดคุยระหว่างการวัด
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์อื่น ๆ
- เลิกบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่และแอลกอฮอล์เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และส่งผลเสียต่อหลอดเลือดในระยะยาว การลดหรือเลิกสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ระบบหลอดเลือดฟื้นตัวและทำงานได้ดีขึ้น
- ลดน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน น้ำหนักตัวที่เหมาะสมตามดัชนีมวลกาย (BMI) จะช่วยลดภาระการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ การรักษาความชุ่มชื้นในร่างกายด้วยการดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว โดยควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งวัน และเพิ่มปริมาณในวันที่อากาศร้อนหรือออกกำลังกาย
- บริโภคอาหารเสริมที่ช่วยลดความดันเช่น น้ำมันปลา (Fish Oil) ที่มีโอเมก้า-3 ซึ่งช่วยลดการอักเสบและบำรุงหลอดเลือด หรืออาหารที่มีแมกนีเซียมสูง เช่น ถั่วชนิดต่างๆ ธัญพืชไม่ขัดสี และเมล็ดพืช ที่ช่วยควบคุมความดันโลหิตได้อย่างเป็นธรรมชาติ
การลดความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุควรเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน เช่น การเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การออกกำลังกายที่เหมาะสม การลดความเครียด รวมถึงการเฝ้าระวังด้วยการวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ การทำสิ่งเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถควบคุมความดันโลหิตได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว
อาหารที่ช่วยลดความดันโลหิตสำหรับผู้สูงอายุ
การรับประทานอาหารที่เหมาะสมสามารถช่วยลดและควบคุมความดันโลหิตในผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการเลือกอาหารที่มีคุณสมบัติเสริมสุขภาพหลอดเลือดและลดความดันโลหิตจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองได้
1. ผักและผลไม้
- ผักใบเขียว เช่น ผักโขม คะน้า และบล็อคโคลี ที่มีโพแทสเซียมสูง ช่วยปรับสมดุลโซเดียมในร่างกายและลดความดันโลหิต
- ผลไม้ที่มีโพแทสเซียม เช่น กล้วย ส้ม และอะโวคาโด มีคุณสมบัติช่วยขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย
- ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบอร์รี่ชนิดต่าง ๆ ช่วยปกป้องหลอดเลือดจากการอักเสบและลดแรงดันโลหิต
2. ธัญพืชและเมล็ดพืช
- ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต และควินัว ที่มีใยอาหารสูง ช่วยลดคอเลสเตอรอลและควบคุมความดันโลหิต
- เมล็ดแฟลกซ์และเมล็ดเจีย มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยส่งเสริมสุขภาพหลอดเลือดและลดความดันโลหิต
3. โปรตีนไขมันต่ำ
- ปลาไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน และปลาทูน่า ที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือด
- ถั่วและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ และนมถั่วเหลือง มีสารอาหารที่ช่วยลดความดันโลหิตได้อย่างปลอดภัย
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความดันโลหิต
1. อาหารเค็มจัด
- อาหารสำเร็จรูปและอาหารแปรรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไส้กรอก และอาหารกระป๋อง ซึ่งมีโซเดียมสูง ควรจำกัดการบริโภค
- ขนมขบเคี้ยวรสเค็ม เช่น มันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบ และถั่วอบเกลือ
2. ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์
- อาหารทอดและขนมอบสำเร็จรูป เช่น เค้ก คุกกี้ และโดนัท ที่มีไขมันทรานส์ซึ่งทำให้หลอดเลือดแข็งตัว
3. เครื่องดื่มและขนมที่น้ำตาลสูง
- เครื่องดื่มหวานและขนมหวาน การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปสามารถเพิ่มระดับความดันโลหิตและน้ำหนักตัว
โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญสำหรับผู้สูงอายุ การดูแลและ วิธีลดความดันโลหิตสูง อย่างเหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง และส่งเสริมสุขภาพที่ดีในระยะยาว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต การเลือกใช้อุปกรณ์วัดความดันที่เหมาะสม และการรับประทานอาหารที่ช่วยลดความดันโลหิต เป็นแนวทางสำคัญในการดูแลตนเอง การวัดความดันอย่างสม่ำเสมอ และการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดีและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิตสูง
คำถามที่พบบ่อย
1. โรคความดันโลหิตสูงคืออะไร?
โรคความดันโลหิตสูงคือภาวะที่แรงดันเลือดในหลอดเลือดแดงสูงเกินกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนด (140/90 mmHg) อย่างต่อเนื่อง ภาวะนี้อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญ โดยเฉพาะหัวใจที่ต้องทำงานหนักขึ้น ไตที่อาจเสื่อมสมรรถภาพ และหลอดเลือดที่อาจแข็งตัวในระยะยาว
2. การวัดความดันโลหิตบ่อยแค่ไหนจึงเหมาะสม?
สำหรับผู้สูงอายุที่มีความดันโลหิตสูง ควรวัดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ในช่วงเวลาเดียวกันของแต่ละวัน และควรวัดหลังจากพักผ่อนอย่างน้อย 5-10 นาที หากแพทย์แนะนำให้ติดตามอย่างใกล้ชิด อาจต้องวัดทุกวันหรือวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น)
3. อาหารชนิดใดที่ช่วยลดความดันโลหิต?
อาหารที่ช่วยควบคุมความดันโลหิตได้ดี ได้แก่ ผักใบเขียวที่อุดมด้วยใยอาหารและแร่ธาตุ ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูงอย่างกล้วย ส้ม และอะโวคาโด ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวโอ๊ต และปลาที่มีไขมันดีอย่าง แซลมอน ปลาทูน่า ซึ่งมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่เป็นประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือด
4. การออกกำลังกายประเภทใดเหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีความดันโลหิตสูง?
การออกกำลังกายแบบแอโรบิกเบา ๆ ที่เหมาะสม ได้แก่ การเดินในที่โล่งหรือในสวนประมาณ 30 นาทีต่อวัน การว่ายน้ำที่ช่วยลดแรงกระแทกต่อข้อต่อ หรือการฝึกโยคะที่เน้นการหายใจและความยืดหยุ่น ทั้งหมดนี้เป็นการออกกำลังกายที่ปลอดภัยและมีประโยชน์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกายใด ๆ
อ้างอิง
- “10 ways to control high blood pressure without medication,” Mayoclinic, July 23, 2024, https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/high-blood-pressure/in-depth/high-blood-pressure/art-20046974
- “Hypertensive crisis: What are the symptoms?,” Mayoclinic, June 19, 2024, https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/high-blood-pressure/expert-answers/hypertensive-crisis/faq-20058491
- “Managing Blood Pressure: What Seniors Need to Know,” Greatergoodhealth, July 15, 2023, https://greatergoodhealth.com/patients/managing-blood-pressure-what-seniors-need-to-know